CRIME

‘ชูวิทย์’ เปิดตัวพยานปากสำคัญ พร้อมผู้รับเหมา เหยื่อถูก ‘ตู้ห่าว’ ค้างค่าจ้าง

‘ชูวิทย์’ เปิดตัวพยานปากสำคัญ พร้อมผู้รับเหมา เหยื่อถูก ‘ตู้ห่าว’ ค้างค่าจ้าง เล่นใหญ่ จุดตะเกียง มอบเทียน ให้ตำรวจ-อัยการ ถามเคยลงพื้นที่บ้างหรือไม่ก่อนจะว่าความในคดี แฉเพิ่ม รถบัสกว่า 500 คัน ไม่ใช่ของบริษัทตู้ห่าว อ้างเป็นของบริษัทหลาน ‘พล.อ.ประยุทธ์’

วันนี้ (5 ม.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าวตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจ และข้อผิดพลาดในการทำคดีของนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว พร้อมพาพยานผู้รับเหมาที่ถูกนายตู้ห่าวไม่จ่ายเงินค่ารับเหมา และพยานที่เป็นผู้เบิกเงินของนายตู้ห่าวจากประเทศจีนมาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย

ก่อนการแถลงข่าว นายชูวิทย์ ได้ถือตะเกียงมาประกอบการแถลงข่าว โดยระบุว่า สิ่งที่ตนนำมาคือตะเกียง เนื่องจาก ประเทศต้องการแสงสว่าง เพราะประเทศไม่มี เพราะ ทุกคนห่วงแต่เรื่องของตัวเอง ไม่มีใครเป็นห่วงเรื่องของบ้านเมือง แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ห่วงแต่จะเรื่องการเมือง ไม่ค่อยสนใจเรื่องของบ้านเมือง

“ต้องใช้ตะเกียง ต้องใช้แสงสว่าง เพราะว่าเราไม่มีผู้นำ เราไม่มีแสงสว่างให้กับประเทศไทยนี้ เพราะทุกคนห่วงแต่เรื่องของตัวเอง ไม่มีใครห่วงเรื่องของบ้านเมือง” ผมเลยต้องเอาตะเกียงมาฝาก ฝากแม้กระทั่ง ท่านผู้นำ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ เพราะว่าท่านมัวแต่ว่าจะไปร่วมกับพรรคนู้นพรรคนี้ แต่ปัญหาบ้านเมือง ท่านไม่ค่อยสนใจ จึงต้องเอาตะเกียงมาฝาก เพื่อให้ท่านได้ส่อง เพราะท่านเป็นผู้นำที่จะนำประเทศนี้ไปสู่แสงสว่าง แต่กลับไม่มี” นายชูวิทย์ กล่าว

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า อันดับแรกตนต้องพูดให้ชัดว่าที่ดำเนินการมาคือการติเพื่อก่อ เนื่องจากเมื่อวานตนเองเห็นว่าอัยการ และตำรวจมีการแถลงข่าวร่วมกันเกี่ยวกับคดีตู้ห่าว โดยมองว่าการทำงานมีลักษณะเหมือนๆ กัน ทั้งเรื่องของหลงจู๊ ที่ถูกยกฟ้อง และคดีของบอส อยู่วิทยา ส่วนกล้องวงจรปิดที่ปรากฏภาพภรรยานายตู้ห่าวได้พาคนไปดูที่จังหวัดภูเก็ต คดีนี้นายตู้ห่าวก็หลุดคดี ซึ่งตนติก็เพราะการทำงานมันมีพิรุธมากไป อีกทั้งการแถลงข่าวเมื่อวานก็ทำให้สังคมไม่เชื่อถือ

ส่วนประเด็นที่มีนักข่าวไปสอบถามผบ.ตร. ว่ากรณีที่นายชูวิทย์พูดถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นการหมิ่นหรือไม่ นายชูวิทย์ ยืนยันว่าตนไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ตนพูดมันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน ขอให้ไปถามเจ้าหน้าที่ได้เลยว่ามีสิ่งไหนที่ตนพูดแล้วเป็นเท็จบ้างหรือไม่

นายชูวิทย์ ได้ชูเทียนขึ้นมา 2 เล่ม พร้อมกล่าวว่า สำหรับสำนวนของตำรวจ ตนขอฝากเทียนไปให้คนละเล่ม ประกอบด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะท่านนั่งเทียนอยู่ เผื่อว่าเทียนท่านจะหมด เนื่องด้วยเห็นตำรวจบอกว่าทำงานทั้งวันทั้งคืน

ส่วนกรณีที่อัยการระบุว่า สำนวนตำรวจสมบูรณ์ครบถ้วนดีนั้น นายชูวิทย์ ระบุว่า แสดงว่าคุณอยู่ในฝั่งที่ปกป้องตำรวจ เพราะถ้าสำนวนมันสมบูรณ์ สังคมจะกลับมาดูหลักฐานที่ตนนำเสนอไปทำไม รวมทั้งการทำงานของตำรวจก็เป็นการเก็บหลักฐานแบบเว้นวรรค คือเว้นหลายวันค่อยเข้าตรวจค้น และยังมีเรื่องการกล่าวอ้างถึงเรื่องระเบียบ ป.ป.ส. ที่ทำให้ตำรวจเข้าตรวจค้นไม่ได้ หรือการขยักหลักฐาน คือการที่บอกว่ามีเยอะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องใช้เพิ่ม หรือการปล่อยรถยนต์ของกลาง หรือการที่รองหมา (พ.ต.อ.ณัฐพล โกมินทรชาติ รอง ผบก.น.6 รักษาการแทน ผกก.สน.ยานนาวา) ปล่อยรถพอร์ช และรถยนต์หรูอีก 11 คันไว้ที่เกิดเหตุ ไม่มีการตรวจ เพราะอ้างว่าไม่มีกุญแจ

อีกทั้ง ยังมีเรื่องการปล่อย Mr.Shirong Du ซึ่งเป็นคนที่ยืนอยู่ในบ่อนคาสิโนตามปรากฏในคลิปวงจรปิดที่ตนเผยแพร่ไปทางเฟสบุ๊ค นอกจากนี้ การตั้งข้อหากับรองหมาว่ามีการรับผลประโยชน์ ตนเองอยากถามว่ามีการสอบปากคำคนให้ประโยชน์รองหมาแล้วหรือยัง ซึ่งก็คือผู้หญิงชาวจีนรายหนึ่งที่ถือถุงกระดาษใส่เงินจำนวน 600,000 บาท ขึ้นไปยังห้องทำงานที่ สน.ยานนาวา โดยหญิงชาวจีนรายนี้ ชื่อ Zhou Shuailian

นายชูวิทย์ ยังหยิบแผนผังสถานบันเทิงจินหลิง พร้อมระบุว่า ผับจินหลิง และอาคารวิปวับ เป็นสถานที่สำหรับเสพยาเสพติด ส่วนอาคารลีลาจะอยู่ด้านข้าง เป็นสถานที่สำหรับบ่อนคาสิโน ซึ่งอาคารลีลา ตนทราบว่ามีการใช้เซิฟเวอร์จำนวน 2 ตัว แต่มีกล้อง 68 ตัว เนื่องจากอาคารลีลามีบ่อนคาสิโน จึงใช้กล้องเยอะ ส่วนผับจินหลิง และอาคารวิปวับมีการใช้เซิฟเวอร์ตัวที่ 3 ตัวที่ 4 ใช้กล้องอย่างละ 20 ตัว รวม 40 ตัว แต่ก็พบว่ากล้องวงจรปิดถูกตัดต่อ เพราะเซิฟเวอร์ของผับจินหลิงที่เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) กลับเหลือเพียง 1 ตัวทั้งๆ ที่มีเซิฟเวอร์ 2 ตัว และเจ้าหน้าที่ พฐ. มีภาพกล้องวงจรปิดแค่ระหว่างวันที่ 21-26 ต.ค.65 เท่านั้น แต่ระหว่างวันที่ 18-19 ต.ค.65 ก่อนหน้านี้ได้ถูกตัดออกไปแล้ว

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า การที่ทำเช่นนี้ตำรวจต้องการจะช่วยเหลือใคร และการทำสำนวนแบบนี้เรียกว่าสมบูรณ์แล้วหรือไม่ รวมทั้งตัวเซิฟเวอร์ของอาคารลีลาหายไปไหน เพราะมันสามารถนำไปสู่การตั้งข้อหาลักลอบเล่นการพนันได้ และบางมุมก็ปรากฏภาพ พนักงานกรอกยาผงสีขาวบรรจุลงในวัสดุอีกด้วย

นายชูวิทย์ ยังฝากคำถามผ่านสื่อมวลชนไปยัง ผบ.ตร. และอธิบดีอัยการ ว่า มีใครเคยไปในที่เกิดเหตุแล้วหรือไม่ พร้อมระบุต่อว่า หากไม่เคยไปแล้วจะไปว่าความ หรือไปเขียนสำนวนกันได้อย่างไร ดังนั้น ตนเองจึงต้องมอบเทียนให้ทั้งสองท่าน เพราะเห็นท่าน ผบ.ตร. กล่าวว่าตัวเองลงมานั่งคุมสำนวนเอง และ ผบช.น. ไม่ได้เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว และทำงานกันยังไม่ได้พัก

อีกทั้งในวันที่ตนไปให้การกับคณะอัยการ กลับมามีอัยการอักษรย่อ ส. คอยสอดแนม และพูดจาเลอะเทอะว่าใครจะเข้าที่เกิดเหตุได้ หรือมาถามว่าใครชวนใครไป ระหว่างพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. กับ ป.ป.ส. ซึ่งตนอยากถามว่ามันสำคัญตรงไหน แต่การที่ไปสถานที่เกิดเหตุมันทำให้ได้พยานหลักฐานเพิ่มเติม ตรงนี้สำคัญกว่าหรือไม่ เพราะทั้งรอง ผบ.ตร. และ ป.ป.ส. เข้าไปเพื่อตรวจค้นเพิ่มเติม และก็เจอรถยนต์ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดตรวจค้น รวมทั้งร่องรอยเกี่ยวกับยาเสพติดในถาดไม้

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ระบุว่า จริงๆ ตนต้องเป็นฝ่ายไปสอบสวนตำรวจ และต้องตั้งคณะชูวิทย์มากกว่า เพื่อสอบตำรวจทั้งหมด เนื่องจากปรากฏหลักฐานอันเชื่อได้ว่ามีการช่วยเหลือกันเหล่าเจ้าหน้าที่ และตนจะตามคดีนี้ไปจนถึงชั้นศาล

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายชูวิทย์ได้มีการเปิดตัวพยาน คือพยานที่เป็นผู้รับเหมาทั้งหมด โดยพยานทั้งหมดที่นายชูวิทย์ได้มาเปิดตัวนั้น ทุกคนล้วนให้การกับอัยการเรียบร้อยแล้ว และเป็นการดำเนินธุรกิจการรับเหมาโดยตรงกับนายตู้ห่าวทั้งสิ้น รวมทั้งยังมีพยานอักษรย่อ ป. ซึ่งเป็นผู้ที่เห็นเงินสดถูกเบิกจากธนาคารครั้งละ 30 ล้านบาท และเป็นเงินที่โอนมาจากประเทศจีน

พยานคนดังกล่าว ระบุว่า ที่เป็นคนเบิกเงินกว่า 30 ล้านบาทนั้น ระบุว่า ตนเองได้ไปเบิกเงินตามคำสั่ง วันนึงเบิกเงินสดประมาณ 20-30 ล้านบาท เบิกที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาลาดกระบัง และมีคนบอกว่าเงินนี้มาจากจีน ทั้งนี้ ตนได้ไปให้การกับอัยการเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งตนเป็นคนมาหานายชูวิทย์เอง ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปหาตำรวจ ก็เพราะไม่ไว้ใจ เนื่องจากนายตู้ห่าว อ้างว่ารู้จักตำรวจเยอะ

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า นายตู้ห่าวมีเงินซื้อรถยนต์หรู โรลส์-รอยซ์ แต่ไม่ยอมจ่ายเงินผู้รับเหมา รวมทั้งยังมีรถทัวร์จำนวนกว่า 400-500 คันของบริษัท เอ็มแอนด์ เอ็ม ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จำกัด ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นบริษัทของตู้ห่าว แต่คนที่เป็นเจ้าของจริงๆ คือ หจก. คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีหลาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าของ ตนเองจึงไม่สงสัยว่าทำไมเรื่องมันถึงหยุด และไม่มีความคืบหน้าอะไรนอกจากนี้

ส่วนการที่ตั้งจเรตำรวจแห่งชาติมาสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีดังกล่าวนั้น นายชูวิทย์ กล่าวว่า หากทางจเรตำรวจประสงค์จะขอให้เข้าไปให้ข้อมูล ตนก็พร้อมที่จะเข้าไปให้ข้อมูลดังกล่าว แต่เชื่อว่าจเรตำรวจมีข้อมูลดังกล่าวอยู่ในมือแล้ว และการตั้งกรรมการสอบสวนของจเรตำรวจจะสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อเอาผิดได้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากประเมิน KPI ของเจ้าหน้าที่ที่ทำคดีตู้ห่าวได้จะเป็นอย่างไรนั้น นายชูวิทย์ ระบุว่า สำหรับ ผบช.น. เอาไปศูนย์คะแนน ทั้งๆที่จริงๆตนอยากให้ติดลบ เพราะปล่อยผู้ต้องหารรายสำคัญหนีไป ปล่อยหลานนายตู้ห่าว ปล่อยรถของกลาง ปล่อยพยานไปหมด เพราะ ผบช.น. ไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นมือสมัครเล่น ส่วนอัยการเอาไป 5 คะแนน เพราะมีอัยการชื่อ ส. พูดจาเลอะเทอะ ขณะที่สำนักงาน ป.ป.ส. ตนให้ 9 คะแนน เพราะ ป.ป.ส. ทำงานเต็มที่ ไล่ยึดอายัดทรัพย์สินได้ดี และดีเอสไอก็ได้รับ 9 คะแนนเช่นเดียวกัน

นายชูวิทย์ ปิดท้ายว่า กระบวนการยุติธรรมต้องทำงานเพื่อประชาชนอย่างโปร่งใส การที่ไม่โปร่งใส ตนในฐานะประชาชนมีสิทธิ์ตั้งคำถาม และตนจะสอบตำรวจเองเพราะตำรวจทำตัวเองไม่โปร่งใส และอัยการยังบอกว่าสำนวนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ดังนั้น ถ้าหากจะช่วยกันทั้งตำรวจ และอัยการ ขอให้คิดดีๆ เพราะตัวเองก็เปื้อนอยู่แล้ว สิ่งที่พูดขอให้มาเป็นข้อเท็จจริง อย่าคิดว่าตนเองรู้ไม่ทัน

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ยืนยันว่า ตนไม่ประสงค์ในตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่เรื่องนี้จะต้องถูกผลักดันให้เข้าไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจทั่วไป แบบไม่ลงมติในสภา แม้ว่าจนถึงขณะนี้จะไม่มีนักการเมือง หรือผู้แทนราษฏร ทั้งฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล นำไปพูดก็ตาม ทั้งที่เป็นเรื่องที่สังคม และประชาชนให้ความสนใจต่อเนื่อง แต่หากไม่มีคนนำไปอภิปราย ตนก็ไม่สามรถทำอะไรได้ คงได้แค่จดใส่บัญชีหนังหมา ว่าเลือดตั้งคราวหน้าอย่าได้มาเจอกันก็แล้วกัน

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat