CRIME

จับกุมข้าราชการ ‘รีดส่วยรถบรรทุก’ ความเสียหายรวม 200 ล้านบาท

ป.ป.ท. – ป.ป.ช. – บก.ปปป. จับกุมข้าราชการ ‘รีดส่วยรถบรรทุก’ มูลค่าความเสียหายรวม 200 ล้านบาท พร้อมตรวจค้นด่านชั่งน้ำหนักที่ผู้ต้องหาปฏิบัติหน้าที่ 11 จุด ด้านผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ

วันนี้ (3 ก.ย. 67) พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้อำนวยการกองปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 2 พร้อมด้วย พ.ต.ท.สราวุธ คำเหลือง ผู้อำนวยการกองอำนวยการต่อต้านการทุจริต และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ร่วมกับ นายไพโรจน์ นิยมเดชา ผู้อำนวยการกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 2 สำนักงาน ป.ป.ช. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. นำกำลังเข้าจับกุมข้าราชการและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการรถบรรทุก พร้อมตรวจค้นด่านชั่งน้ำหนักที่ผู้ต้องหาปฏิบัติหน้าที่ 11 จุด

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายน 2566 สมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ขอให้ตรวจสอบกรณีการทุจริตเรียกรับส่วยรถบรรทุก มีเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการรถบรรทุกรายละ 100,000 บาท เพื่อให้สามารถบรรทุกน้ำหนักเกินได้โดยไม่ถูกจับกุม ซึ่งกระทำการโดยชุดเฉพาะกิจ นําโดยนาย น. (นามสมมุติ) ซึ่งในขณะเกิดเหตุ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าด่านชั่งน้ำหนัก มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำความผิดในการบรรทุกน้ำหนักเกิน ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการรถบรรทุก

นอกจากนี้ ยังมีนาย อ. (นามสมมุติ) ซึ่งในขณะเกิดเหตุ ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ได้อาศัยตำแหน่งหน้าที่เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการรถบรรทุก เพื่อแลกกับการไม่จับกุมผู้ประกอบการรถบรรทุกน้ำหนักเกิน มีพฤติการณ์ในการรับเงินจากผู้ประกอบการโดยตรง และโอนเงินส่วนหนึ่งเข้าบัญชีของนาย น. และยังมีนาย ธ. (นามสมมุติ) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อเรียกรับเงินจากผู้ประกอบการ และนำเงินส่งมอบให้นาย น. โดยใช้บัญชีม้ารับโอนเงิน

สำนักงาน ป.ป.ท. จึงร่วมกับ ป.ป.ช. และ บก.ปปป. สนธิกำลังเข้าจับกุมตัว นาย น. นาย อ. และนาย ธ. พร้อมตรวจค้นตามจุดต่าง ๆ ซึ่งต้องสงสัยว่ามีพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด รวมถึงตรวจค้นด่านชั่งน้ำหนักที่ผู้ต้องหาได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ รวม 11 จุด ดำเนินการส่งตัวผู้ต้องหาให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เบื้องต้นทราบว่ามีชุดเฉพาะกิจดังกล่าวกระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 10 ชุด โดยตั้งแต่ปี 2562-2566 มีผู้เสียหายรวมมากกว่า 30 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 200 ล้านบาท และเงินส่วยหมุนเวียนแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 3,000,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

Related Posts

Send this to a friend