
รายงานคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ คดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ขับรถในขณะเมาสุราป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
ข้อเท็จจริงได้ความว่า
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 05.20 นาฬิกา ขณะที่ผู้ต้องหาที่ 1 คือนายวรยุทธ อยู่วิทยา กำลังขับขี่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อเฟอรารี คันหมายเลขทะเบียน ญญ-1111 กรุงเทพมหานคร ไปทาง ถนนสุขุมวิทฝั่งขาออก ในช่องทางเดินรถที่ 3 ตัดกับเกาะกลางถนน จากบริเวณปากซอยสุขุมวิท 45 มุ่งหน้าไปทางพระโขนง เมื่อถึงบริเวณระหว่างปากซอยสุขุมวิท 47 และปากซอยสุขุมวิท 49 ได้ชนท้ายรถจักรยานยนต์ ตราโล่ห์ คันหมายเลขทะเบียน 51511 ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 2 เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ล้มลงครูดไถลไปตามพื้นถนนหยุดที่บริวณปากซอยสุขุมวิท 49
ร่างของผู้ต้องหาที่ 2 คือ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ พลัดตกจากรถจักรยานยนต์ขึ้นไปกระแทกกระจกด้านหน้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 คือ นายวรยุทธ ขับขี่ แล้วตกลงไปที่พื้นถนนชิดกาะกลางถนน ถึงแก่ความตาย
นายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ได้ หยุดรถ ภายหลังเกิดหตุแต่ได้ขับขี่หลบหนีเข้าไปภายในบ้านพักเลขที่ 8 ซอยสุขุมวิท 53
พนักงานสอบสวนได้เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดหตุ จากการสืบสวนพบคราบน้ำมัน ซึ่งสันนิฐานว่าเป็นของ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลของผู้ต้องหาที่ 1 ขับจากบริเวณที่เกิดเหตุขึ้นไปหยุดที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 9 จึงได้นำหมายค้นของศาลอาญากรุงเทพใต้เข้าตรวจค้นกายในบ้านหลังดังกล่าว พบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลคันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ขณะเกิดเหตุจอดอยู่ชั้นใต้ดิน และพบผู้ต้องหาที่ 1 แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน จึงนำตัวผู้ต้องหาที่ 1 มอบต่อพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนได้แจ้งเจ้าพนักงานตำรวจ กองพิสูจน์หลักฐานเดินทางไปตรวจเก็บวัตถุพยานจากรถยนต์คันดังกล่าวเป็นของกลาง ส่งตรวจร่องรอยความเสียหายทางวิทยาการพร้อมกับจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ขณะเกิดเหตุ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 1 ไปตรวจหาสารเสพติด และปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในวันเดียวกัน
ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1 ให้การปฏิเสธ ผู้ต้องหาที่ 2 ถึงแก่ความตาย พนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควรแก่ผู้ได้รับความเสียหายและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงานในทันที ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
คำวินิจฉัย
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ได้มีความเห็นและคำสั่งทางคดี โดยสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้คียงในทันที และขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ด.ต.วิเชียร ถึงแก่ความตาย จึงมีคำสั่งยุติการดำนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของผู้อื่นเสียหาย ต่อมาเสนอความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อพิจารณา เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีสำคัญที่ประชาชนสนใจ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ พิจารณาแล้วมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถอื่นเสียหายและมีผู้ถึงแก่ความตาย ขับรถในทางก่อนให้กิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น แล้วไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงในทันที และขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(2), 160 ต และมีคำสั่งยุติการดำนินคดีกับผู้ต้องหา 2 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถของผู้อื่นเสียหาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทาบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 157 ซึ่งต่อมาผู้บัญชาการตำรวจแห่ชาติไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ในระหว่างเสนอสำนวนไปยังผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในขณะเมาสุราเป็นหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดหลายครั้ง ซึ่งอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรม แต่ในระหว่างรอผลการสอมสวนเพิ่มเติม ปรากฎว่าข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจจะเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน จะขาดอายุความฟ้องร้องในวันที่ 3 กันยายน 2556 สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 จึงมีหนังสือแจ้งพนักงานสอบสวนให้ส่งตัวผู้ต้องหาที่ 1 มาพบพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดี แต่ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่มาตามกำหนดนัด โดยมอบอำนาจให้ทนายความมาขอเลื่อน สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เห็นว่าผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์หลบหนีจึงมีหนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการร้องขอต่อศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาที่ 1 แล้วจัดส่งมาให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เป็นเหตุให้ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินขาดอายุความ พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),67, 152,157 เพราะเหตุคดีขาดอายุความ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 54(6)
ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2556 อัยการสูงสุดมีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาที่ 1 สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 จึงมีหนังสือแจ้งตือนให้พนักงานสอบสวนส่งหมายจับผู้ต้องหาที่ 1 ให้แก่พนักงานอัยการ แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ดำเงินการ ทั้งผู้ต้องหาที่ 1 ก็ยื่นหนังสือขอเลื่อนการฟังคำสั่งทางคดีของพนักงานอัยการโดยตลอด
จนกระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อได้ส่งสำเนาหมายจับและตำหนิรูปพรรณของผู้ต้องหาที่ 1 มายังพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เพื่อดำเนินการต่อไป ซึ่งสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ได้มีหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขอให้จัดการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่ 1 มาฟ้องคดีภายในอายุความ 15 ปี นับแต่วันกระทำความผิด
ต่อมาวันที่ 3กันยายน 2560 พนักงานสอบสวนยังไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 ตามหมายจับมาส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 พื่อยื่นฟ้องได้เป็นหตุให้ข้อหาขับรถในทางก่อให้กิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สันของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยหลือตามสมควร และไม่แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้คียง ขาดอายุความ พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหาขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลและทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่แจ้งเหตุต่อพนักงนเจ้าหน้าที่ที่ใกล้คียง ตามตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ. ศ. 2522 มาตรา 78, 160 เพราะเหตุคดีขาดอายุความ ตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 54(6)
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ยุติเรื่องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาที่ 1 ไปแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ยังคงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดอีกหลายครั้ง รวมถึงยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการกฎหมายกระบวนกรยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช. 2557) ด้วย อัยการสูงสุดมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมตามหนังสือร้องขอความเป็นธรรรมอีกหลายครั้ง
ต่อมา รองอัยการสูงสุด (นายเนตร นาคสุ อธิบดีอัยกร สำนักงานคดีศาลสูง ขณะรักษาการในตำแหน่ง รองอัยการสูงสุด) พิจารณาผลการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว มีความเห็นว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาเฉพาะข้อกล่าวหาของผู้ต้องหาที่ 1 ว่าขับรถโดยประมาทเป็นหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ตามที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งฟ้องว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะกลับความเห็นและคำสั่งเดิมหรือไม่ อย่างไร
ซึ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อเหตุที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 (โดยอธิบดีอัยการ สำนักงามคดีอาญากรุงเทพใต้) มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ใความผิดฐานนี้
เนื่องจากได้ความจากพันตำรวจตรีธนสิทธิ แตงจั่น ผู้ตรวจสอบความเร็วของรถยนต์ ขณะเกิดหตุรถยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับ แล่นด้วยความเร็วเฉลี่ย 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยผู้ตรวจสอบยืนยันว่าการคำนวณดังกล่าวอาจมีความคลาดเคลื่อนมากขึ้นหรือน้อยลงประมาณ 17 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งความเร็วดังกล่าวเกินกว่าความเร็วของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่จะแล่นได้ภายในกรุงทพมหานคร (80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2522 ข้อ 1(3) ลงวันที่ 30 พฤษกาคม 2522 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทาบก พ.ศ. 2522 มาตรา 5, 67 วรรคแรก การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถ
ต่อมาเมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรม ได้มีการสอบสวนพยานบุคคลผู้เชี่ยวชาญเพิ่มติม คือ พันตำรวจกสมยศ แอบเนียม และพันตำรวจโทสุรพล เดชรันตวิไชย พยานผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจดูสภาพความเสียหายของรถทั้งสองคันเปรียบเทียบกับความเสียหายที่กิดขึ้นจากการเฉี่ยวชนในคดีอื่นแล้วต่างให้การประเมินความเร็วของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ผู้ห้องหาที่ 1 ขับขี่ขณะกิดเหตุชนรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่ ว่าไมใช่ความเร็วประมาณ 170 กิโลมตรต่อชั่วโมง
และจากการสอบสวนของศาสตราจารย์ ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยมพยานบุคคลผู้เชี่ยวชาญ (เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2560) ในประเด็นเกี่ยวกับการคำนวณความเร็วของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ได้ความว่า ความเร็วของรถยนต์ Ferrari FF ก่อนเกิดเหตุ จะได้ความเร็วประมาณ 76.175 กิโลมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งใกล้เคียงกับความเห็นของพันตำรวจโทสมยศ ที่ตรวจร่องรอยความเสียหายของรถทั้งสองคันแล้ว สันนิษฐานว่ารถทั้งสองคันน่าจะแล่นด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และความเห็นของพันตำรวจโท ธนสิทธิ แตงจั่น (ยศในขณะให้การเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2559) ว่าจากการคำนวณหาความเร็วโดยวิธีใหม่ได้ความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่ประมาณ 79.23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ต่อมา เมื่อมีการร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้อีกและมีการสอบสวนพยานบุคคลเพิ่มเติมคือ พลอากาศโทจักรกฤช ถนอมกุลบุตร และจารุชาติ มาดทอง เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ได้ความว่าพยานทั้งสองขับรถยนต์แล่นตามหลังรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาด้วยความเร็วไม่กิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ปรากฎในภาพวงจรปิด) ให้การว่าผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์มาด้วยความเร็วประมาณ 50 – 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อพยานทั้งสองปากเป็นประจักษ์พยานในขณะเกิดเหตุให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับคดี ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่วาข้างต้น
ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญดังกล่วาข้างต้น ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าขณะเกิดเหตุผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์แล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 3 ชิดเกาะกลางถนนด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โดยมีนายจารุชาติ มาดทอง ขับรถยนต์กระบะแล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 2 ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่รถจักรยามยนต์แล่นมาในช่องทางเดินรถที่ 1 (ด้านซ้าย) แล้วผู้ต้องหาที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทางเดินรถจากช่องทางที่ 1 ผ่านช่องทางเดินรถที่ 2 ที่นายจารุชาติขับรถมา นายจารุชาติ ชะลอความเร็วของรถลง และหักพวงมาลัยหลบไปหาซ้ายมือเพื่อไม่ให้ชนกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มา แต่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับขี่มาได้แล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ 3 ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับรถยนต์แล่นมาในระยะกระชั้นชิด จึงทำให้รถยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มาชนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่ผู้ต้องหาที่ 2 ขับที่มา เป็นเหตุให้ผู้ต้องหา 2 ถึงแก่ความตาย รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย
เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่ผู้ต้องหา 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทางเดินรถเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ผู้ต้องหาที่ 1 ขับขี่มาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในระยะกระชั้นชิดทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ไม่สามารถหลบหลีกและหยุดรถได้ทันท่วงที เหตุที่กิดขึ้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย มิใช่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของผู้ต้องหาที่ 1 แต่เกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังของผู้ต้องหาที่ 2 ที่ปลี่ยนช่องทางเดินรถในระยะกระชั้นชิด
การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 คดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 ในความผิดฐานนี้ และเป็นกรณีกลับความเห็นและคำสั่งเดิมตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2547 ข้อ 6 วรรคท้าย, 45
อนึ่ง ฝ่ายผู้ต้องหาที่ 2 (ผู้ตาย) ได้รับการชดใช้ค่าสียหายและค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายผู้ต้องหาที่ 1จนเป็นที่พอใจ และไม่ประสงค์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไปแล้ว
จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 ฐาน กระทำโดยประมาทและการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 มาตรา 4
ลงชื่อ นายสมพงษ์ กุชงคโสภาพันธุ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ผู้สรุปย่อคำสั่ง


