กทม.ยอมรับ จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายมีทุจริตจริง จนท.เอี่ยว 25 ราย สั่งตั้ง คกก.สอบวินัยร้ายแรง

กทม. แถลงคืบหน้าผลสอบทุจริต จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ยอมรับ มีการทุจริตจริง เจ้าหน้าที่เอี่ยว 25 ราย พร้อมสั่งตั้ง คกก.สอบวินัยร้ายแรง ภายใน 120 วัน และส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. เอาผิดทั้งอาญา – วินัย – แพ่ง
วันนี้ (30 ก.ค. 67) เวลา 09:00 น. ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะโฆษก กทม. พร้อมด้วย นายณัฐพงศ์ ดิษยบุตร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการติดตามการต่อต้านการทุจริตของกรุงเทพมหานคร (ศตท.กทม.) และ น.ส.เต็มศิริ เนตรทัศน์ ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) แถลงชี้แจงความคืบหน้าการตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม. ที่มีราคาแพงเกินจริง
นายณัฐพงศ์ เปิดเผยว่า ในส่วนไทม์ไลน์ช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการร้องเรียนผ่านสื่อ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ให้ข้อสังเกตโครงการดังกล่าวมา และเริ่มตรวจสอบ ทาง กทม.จึงได้ให้ข้อมูลทาง สตง.ไปก่อนหน้านี้
จากนั้นมีการร้องเรียนผ่านสื่อ เมื่อวันที่เมื่อ 4 มิถุนายน 2567 ทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครได้สั่งระงับการตรวจรับการจัดซื้อฯ พร้อมให้ทาง ศตท.กทม. ดำเนินการตรวจสอบ ตนเองจึงได้สั่งการคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริต พร้อมทั้งให้สำนักปลัด กทม. ดำเนินการตรวจสอบร่วมด้วย และในวันที่ 11 มิถุนายน 2567 คณะกรรมการได้รายงานผลมา โดยมีข้อเสนอ 2 ทาง คือ ทางแรก การทุจริตมีข้อบกพร่อง มีมูลส่อทุจริต ซึ่งอาจผิดกฎหมายว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐ ทาง ศตท.กทม. จึงได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นส่งให้ ป.ป.ช. ไปดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
จากนั้น กทม. ได้นำผลการสอบสวนเบื้องต้น พร้อมส่งเรื่องให้ปลัด กทม. เพื่อดำเนินการวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ว่าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2567 โดยให้เวลา 30 วัน นับตั้งแต่คณะกรรมการสืบสวนรับทราบคำสั่งในวันที่ 20 มิถุนายน 2567 และครบรอบ 1 เดือน 19 กรกฎาคม 2567 และผู้ว่าฯ ได้รายงานทุก 7 วัน
สำหรับผลสรุป คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้ตรวจสอบ 7 โครงการ ตามกรอบ 30 วัน ได้นำเสนอรายงานเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งจากการสืบสวนทั้งพยานบุคคล และเอกสารที่เกี่ยวข้องพบว่าการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายจำแนกได้ 4 ประเด็น ได้แก่
ประเด็นแรก มีการซื้อแพงเกินจริง มีราคาสูงกว่าราคาตามท้องตลาดและเป็นราคาที่สูงกว่าในราคาที่เคยจัดซื้อมาในปีก่อน ๆ หากเปรียบเทียบราคาต้นทุน รวมค่าดำเนินการ ก็ยังสูงกว่าเป็นอย่างมาก
ประเด็นที่สอง ใน TOR คุณลักษณะเฉพาะหรือสเปคของเครื่องออกกำลังกายมีการปรับสเปคให้สูงขึ้นกว่าเดิม เช่น การเพิ่มกำลังแรงม้า เพิ่มโปรแกรมออกกำลังกาย การเพิ่มการรองรับน้ำหนัก การเพิ่มจอแสดงผลแบบสัมผัส เป็นต้น
วิธีการคือสืบราคาจากผู้ประกอบการ 3 ราย โดยใช้ราคาต่ำสุดเป็นราคากลาง ไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม และการใช้งานจริง กำหนดสเปคสูงเกินจริง ส่งผลต่อราคาแพงเกินควร
ประเด็นที่ 3 การกำหนดคุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอตาม TOR มีข้อกำหนดไม่ได้เปิดกว้างให้เสนอราคาได้เท่าเทียม ตัวอย่าง เช่น การกำหนดให้แนบหนังสือรับรองผลงานและสำเนาสัญญาซื้อขายไม่น้อยกว่า 4 สัญญา ในวันเสนอราคา มีระยะเวลานับย้อนหลังไม่เกิน 2 ปี การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว กำหนดเพิ่มเติมเกินกว่าแนวทางกระทรวงการคลังกำหนด ทำให้ราคาแพงเกินควร
ประเด็นสุดท้าย พบว่ามีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดซื้อ ขั้นตอนพิจารณางบประมาณ และการดำเนินการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายทั้งหมด รวมทั้งสิ้น 25 ราย มี 1 ราย ลาออกจากราชการไปแล้ว โดยไม่มีข้อเท็จจริงยืนยันชัดเจนว่าผู้ที่เกี่ยวข้องได้คำนึงถึงหลักความคุ้มค่า และไม่มีขั้นตอนการกลั่นกรอง การทักท้วงราคาดังกล่าว หลังจากสอบสวนทางวินัย จะมีการสอบสวนในเชิงลึกเพื่อหาผู้รับผิดชอบต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 23 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ปลัด กทม. ได้มีคำสั่งย้ายผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง 7 โครงการ ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักปลัด กทม. เพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับหลักฐานในการดำเนินการทางวินัย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเที่ยงธรรม โดยยังไม่มีความผิด เพื่อให้โปร่งใสในการตรวจสอบ
ด้าน น.ส.เต็มศิริ กล่าวถึงกระบวนการทางวินัยว่า เรื่องนี้มีการดำเนินการทั้งหมด 3 ส่วน โดยส่วนแรกคือ ดำเนินการทางอาญา เราได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. แล้ว และเข้าสู่การดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ซึ่ง กทม. ไม่มีอำนาจต้องส่งต่อให้ ป.ป.ช. เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนต่อมา คือการดำเนินการทางวินัย โดยตอนนี้คณะกรรมการทางวินัยได้สืบสวน และรายงานผู้สั่งตั้งคณะกรรมการฯ แล้วว่าพบมูลความผิดจริง ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง คาดว่าจะมีคำผิดที่มีมูลความผิดเดียวกัน จึงจะต้องออกคำสั่งเป็น 1 คำสั่งรวมกัน ส่วนรายชื่อผู้กระทำผิดยังไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้
อีกทั้ง ตามกฎของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร เรากำหนดระยะเวลาให้คณะกรรมการสอบสวนเริ่มนับตั้งแต่การประชุมวันแรกไปจนถึง 120 วัน สามารถขยายได้ 1 ครั้ง ไม่เกิน 60 วัน หรือรวมกันไม่เกิน 180 วัน แต่เชื่อว่า การตรวจสอบเรื่องนี้จะแล้วเสร็จภายใน 120 วัน ซึ่งกระบวนการจะมีตั้งแต่การสรุปพยานหลักฐาน และแจ้งข้อกล่าวหา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง และแสวงหาพยานหลักฐานพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่กรอบระยะเวลาที่คณะกรรมการฯ เป็นผู้กำหนด และจะพิจารณาสั่งลงโทษทางวินัย ภายในกรอบระยะเวลา 120 วัน เพื่อรายงานผลต่อผู้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ พิจารณาต่อให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน
ส่วนสุดท้ายคือ การดำเนินการทางแพ่ง หรือความรับผิดทางเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่จะดำเนินการควบคู่กันไป ภายหลังจากที่คณะกรรมการฯ ตรวจสอบแล้วพบว่า ราคาจัดซื้อแพงเกินจริง ก็จะต้องตรวจสอบหาผู้รับผิดทางแพ่ง เพื่อคืนเงินให้กับ กทม. ก็จะอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ว่าจะต้องชดใช้คืนเงินให้กับ กทม. เท่าไหร่