‘ชัชชาติ’ เปิดงานวันกิมจิ ร่วมทำกิมจิ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหาร
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปิดงาน ‘วันกิมจิ’ และร่วมทำกิมจิ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหารกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
วันนี้ (21 พ.ย.67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดงานวันกิมจิ จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยและศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย ในการนี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครร่วมทำกิมจิโดยใช้ผักกาดขาวและมะละกอของไทยเป็นวัตถุดิบ ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า เขตพระนคร
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “กิมจิ” ถือเป็นอาหารประจำชาติและซอฟท์พาวเวอร์อย่างหนึ่งของสาธารณรัฐเกาหลี ได้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกในฐานะตัวแทนของวัฒนธรรมอาหารของสาธารณรัฐเกาหลี และวัฒนธรรมการทำกิมจิ หรือ “กิมจัง” ยังได้รับเลือกให้เป็น “มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” ของยูเนสโกเมื่อปี 2556 อีกด้วย “กิมจิ” เป็นอาหารที่ใช้เวลาในการทำไม่นานและมีคุณประโยชน์หลายอย่างที่ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบขับถ่ายของร่างกายมนุษย์ เพราะมีส่วนประกอบหลักเพียงผัก ผลไม้ และเครื่องเทศ กิจกรรมในวันนี้อยากให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านได้สัมผัสถึงประสบการณ์ในการทำกิมจิ นอกจากนี้ ยังรู้สึกยินดีและภูมิใจที่ผักและผลไม้ของไทยอัน ได้แก่ ผักกาดขาวและมะละกอ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในประเทศไทยและมีราคาถูกได้ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการทำกิมจิด้วย และหวังว่าผู้เข้าร่วมงานจะสามารถหาวัตถุดิบที่มีในประเทศไทยนำมาประยุกต์ทำกิมจิเพื่อเก็บไว้รับประทานได้ในทุก ๆ ครัวเรือน ซึ่งเป็นกิจกรรมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางอาหารที่สวยงามระหว่างสองประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ สมาคมกิมจิแห่งสาธารณรัฐเกาหลีประกาศให้วันที่ 22 พฤศจิกายนของทุกปีเป็น “วันกิมจิ” และจัดตั้งให้เป็นวันเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการในประเทศเกาหลีตั้งแต่ปี 2563 เพื่อสื่อว่า เมื่อแทนวัตถุดิบของ “กิมจิ” แต่ละชนิดด้วยเลข “1” แต่ละวัตถุดิบรวมตัวกันเป็นกิมจิคือ “1 ต่อ 1” กลายเป็นเลข “11” ซึ่งตรงกับ “เดือนพฤศจิกายน” และการรับประทานกิมจิให้ประโยชน์ 22 อย่าง เช่น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ช่วยลดความเสี่ยงโรคลำไส้อักเสบและมะเร็งลำไส้ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล มีโพรไบโอติกสูง ฯลฯ
โดยในปี 2564 ได้เริ่มมีการจัดตั้ง “วันกิมจิ” ในสหรัฐเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐเวอร์จิเนีย รัฐนิวยอร์ก รัฐมิชิแกน และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ไปจนถึงสหราชอาณาจักร สหพันธ์สาธารณรัฐบราชิล และสาธารณรัฐอาร์เจนตินา การประกาศให้มีวันกิมจิในต่างประเทศ ทำให้ทั่วโลกได้รู้จักกิมจิในฐานะอาหารที่เป็นตัวแทนสาธารณรัฐเกาหลี และเนื่องด้วยวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมความสามัคคีในชุมชนพหุวัฒนธรรม “กิมจิ” จึงมีบทบาทในฐานะทูตวัฒนธรรมทางอาหารและได้รับความนิยมมากขึ้นในต่างประเทศ นอกจากนี้ การทำกิมจิถือเป็นการสร้างความสามัคคีในชุมชนที่เกิดจากความร่วมมือจากผู้คนจำนวนมาก และวัฒนธรรมการทำกิมจิของสาธารณรัฐเกาหลียังได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้จาก UNESCO เมื่อปี 2556 อีกด้วย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 66 ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน “เทศกาลกิมจิ” ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อส่งเสริมกิมจิและสัมผัสประสบการณ์ “กิมจัง” ซึ่งหมายถึง “การรวมตัวเพื่อทำกิมจิจำนวนมาก ๆ ในฤดูหนาว” โดยจัดขึ้นที่ศูนย์การค้า MBK Center ซึ่งมีผู้เข้าร่วมทำกิมจิกว่า 400 คน ลงมือทำกิมจิกว่า 1,500 กิโลกรัม มีคุณยุน แดชุก ผู้เชี่ยวชาญอาหารเกาหลีและเจ้าของร้านอาหารเกาหลี “เมียงกา” เป็นผู้นำทำกิมจิ ส่วนผักกาดขาวสำหรับทำกิมจิได้นำเข้าจากจังหวัดแฮนัมที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐเกาหลี นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมประกวดทำกิมจิที่ใช้วัตถุดิบของประเทศไทย การบริจาคกิมจิที่ทำในงานจำนวน 1,000 กิโลกรัม ให้กับมูลนิธิเอสโอเอสซึ่งเป็นมูลนิธิแห่งแรกของประเทศไทยที่กู้ชีพอาหารส่วนเกินจากภาคธุรกิจเพื่อส่งต่อให้ผู้ที่ขาดแคลน และการแสดงทางวัฒนธรรมเกาหลีต่าง ๆ เช่น เทควันโด ซามุลโนรี
ในปีนี้ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทยจัดกิจกรรม “วันกิมจิ” ขึ้นอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ได้คำนึงถึงปัญหาสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้ผักกาดขาวและหัวไชเท้าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในสาธารณรัฐเกาหลีมีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก และเพื่อให้วัฒนธรรมการทำกิมจิที่ดีงามนี้ไม่ให้เลือนหายไป ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีฯ จะเลือกใช้วัตถุดิบหลักอย่างผักกาดขาวของประเทศไทยและประยุกต์วัตถุดิบผักผลไม้อื่น ๆ ของประเทศไทยให้กลายเป็นกิมจิได้ ทำให้งานนี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการผนวกและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอาหารและของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี
งานวันนี้ นายฮัม จองฮัน (Mr. HAHM Jeonghan) อัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย นางสาวอี ชอนจู (Ms. LEE Sunju) ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศเทศไทย นายดาร์คีย์ อีเฟรอิม แอฟริกา (H.E. Mr. Darkey Ephraim Africa) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ประจำประเทศไทย นายธัน พหาทุร โอลิ (Mr. Dhan Bahadur Oli) เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลประจำประเทศไทย นายลูวิช ดือ อัลบูแกร์ก วือโลซู (H.E. Mr. Luiz de Albuquerque Velso) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปรตุเกสประจำประเทศไทย นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายโกศล สิงหนาท ผู้อำนวยการเขตพระนคร ร่วมงาน