TECH

รายงานใหม่ชี้ AI พลิกโฉมการผลิตไทยสู่ Thailand 4.0 เผยผู้ประกอบการเพียง 2% พร้อมเต็มรูปแบบ

วันนี้ (27 พ.ค. 68) มีการเผยแพร่รายงาน whitepaper ฉบับใหม่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งยกระดับเศรษฐกิจไทยจากระบบการผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) (ETDA) ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และบริษัท SAP พบว่ายังมีปัจจัยท้าทายหลายประการ โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการภาคการผลิตในไทยเพียง 2% เท่านั้นที่สามารถปรับเปลี่ยนสู่มาตรฐานอุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งที่ศักยภาพในการนำ AI มาใช้ในประเทศสามารถขยายได้มากถึง 300 กรณีการใช้งานในภาคการผลิต

ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ สพธอ. กล่าวว่า ข้อมูลเชิงลึกในรายงานนี้จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการนำ AI มาใช้ในภาคการผลิต ซึ่งเป็นกลไกหลักของยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 โดยเน้นย้ำว่าความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะในด้านการกำกับดูแล AI จะเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ ความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง SAP สะท้อนความมุ่งมั่นในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยได้รับประโยชน์จากนวัตกรรม AI อย่างเต็มที่

ดร.สลิลธร ทองมีนสุข นักวิชาการอาวุโส TDRI ระบุว่า AI มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งเสริมนวัตกรรม สร้างโรงงานอัจฉริยะ และสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของไทย หากมีการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย ประเทศไทยจะสามารถสร้างฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การเป็นเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและแข่งขันได้ในระดับโลก

รายงานยังคาดการณ์ว่าภาคการผลิตไทยจะมีการนำ AI มาใช้เพิ่มขึ้นถึง 60% ภายในปี พ.ศ. 2568 แม้ปัจจุบันภาพรวมการใช้ AI ในภาคธุรกิจไทยยังอยู่ที่ 18% ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการพยากรณ์ความต้องการได้ถึง 65% เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 20% ผ่านระบบอัตโนมัติที่เสริมด้วย AI ลดเวลาหยุดทำงานของเครื่องจักร 20% ด้วยการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ และลดพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยในที่ทำงานได้ถึง 90%

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญในการนำ AI มาใช้คือเรื่องข้อมูล โดยเกือบสองในสาม (65%) ขององค์กรการผลิตมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูล และจำนวนใกล้เคียงกัน (65%) ระบุว่าโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอเป็นอุปสรรค

คุณกุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการ SAP ประเทศไทย กล่าวว่า การสร้าง Business AI ที่ดีที่สุดต้องอาศัยข้อมูลที่ดีที่สุด ปัจจุบัน SAP มีลูกค้ากว่า 34,000 รายทั่วโลก รวมถึงหลายพันรายในเอเชีย ที่ใช้ SAP Business AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การตัดสินใจอัตโนมัติ และการพยากรณ์ที่แม่นยำขึ้น ด้วย Business AI ที่เกี่ยวข้อง เชื่อถือได้ และมีความรับผิดชอบ ผู้ผลิตไทยสามารถวางใจในความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความปลอดภัย และการปฏิบัติตามข้อกำหนด พร้อมรับประโยชน์จากยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0

รายงาน Whitepaper ยังได้เสนอแนวทางเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมความสำเร็จ ได้แก่ การจัดตั้งกรอบกำกับดูแล AI เพื่อลดความเสี่ยง ปรับปรุงข้อกำหนดทางกฎหมายให้ชัดเจน และผลักดันความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนผ่านคณะอนุกรรมการในอุตสาหกรรมต่างๆ

ดร.สลิลธร กล่าวเพิ่มเติมว่า การสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่งต้องเริ่มจากการวางยุทธศาสตร์ด้านการกำกับดูแล AI การทบทวนมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และการส่งเสริมการทำงานร่วมกันในระดับสากล ภาคธุรกิจจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาเพื่อเลือกโซลูชัน AI ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดี

คุณกุลวิภาสรุปว่า ด้วยความร่วมมือและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ภาครัฐและองค์กรชั้นนำอย่าง SAP จะสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 และด้วยนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเกิดการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองไม่เฉพาะในภาคการผลิต แต่รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat