TECH

ย้อนตำนานการเปิดตัว iPhone : 15 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนโลกอย่างไร

“An iPod, a phone, and an internet connecting device.” ประโยคทองตอนที่ Steve Jobs นิยามการเปิดตัว iPhone ในปี 2007 (พ.ศ. 2550) ซึ่งในยุคนั้น คำจำกัดความของ iPhone สิ่งประดิษฐ์ที่ตอนนั้นเรายังรู้จักเพียงแค่ มือถือปุ่มกด รู้จัก iPod แต่การแนะนำ iPhone ให้ผู้ใช้ในยุคนั้นเข้าใจ คือ iPod โทรออกได้ + อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในวันที่คนส่วนใหญ่ยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ภาพอนาคตมือถือยุคนั้นเป็นเครื่องคิดเลข เช็คสภาพอากาศ กล้องถ่ายรูป เรดาร์ walkie-talkie รับส่งข้อความเสียง เครื่องบันทึกเสียง ซึ่งเป็นแอปเริ่มต้นในยุคนั้น ผู้ใช้ยังนึกภาพกันไม่ออกว่าเอามาใช้ทำอะไร

มาถึงจุดนี้ บอกได้เต็มปากเลยว่า iPhone เปลี่ยนโลก เพราะเป็นมือถือที่แหวกแนวและมองอนาคตได้ไกลมากๆ เป็นมือถือที่ติดตั้งแอปได้ ในยุคนั้นที่เรามี PDA, Pocket PC แต่การใช้นิ้ว “จิ้ม” หน้าจอ มันดูแปลกไปจากมือถือในเวลานั้น โดย iPhone 2G เป็นมือถือรุ่นแรกจาก Apple ที่ได้รับการออกแบบให้ใช้งานโดยการสัมผัสหน้าจอได้ และถ้าเราย้อนกลับไปมองการเปิดตัวโดย Steve Jobs ในเดือนมกราคม ปี2007 ณ วันนั้น เราก็ไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนโลกได้มากขนาดนี้

วันนี้เราจะไม่ได้มาไล่เรียงรุ่น iPhone แต่เราจะหยิบนวัตกรรมต่างๆ ของ iPhone มาบอกเล่ากัน อันดับแรกคือการทัชหน้าจอ iPhone “multi-touch” (มัลติทัช) หมายถึงการเอามือถือมาเล่นเกมได้ เพราะรองรับแตะหน้าจอสองจุดขึ้นไป เอกลักษ์ของ iPhone คือการ “ถ่าง” “ขยาย” “หุบ” หรือ “pinching” และ “zooming” บนหน้าจอ การใช้ Gesture ต่างๆ โดยก่อนหน้านี้ iPhone มีหน้าจอขนาด 3.5 นิ้ว แต่ล่าสุดหน้าจอเล็กที่สุดคือ iPhone SE หน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว และขนาดใหญ่ที่สุดคือ 6.7 นิ้ว (iPhone 13 Pro Max)

ในยุคแรก iPhone มีความจุเพียง 4GB และ 8GB ยุคนี้ 1TB สมัยนั้นยังมี iPod อยู่เลย และล่าสุด สิ่งที่น่าสนใจคือ “widget” ทำให้ผู้ใช้สนุกกับการปรับแต่งและควบคุมการใช้งาน iPhone ได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น

ถ้าย้อนไปถึงสมัยเครื่องเล่นเพลง ตอนนั้นเราใช้ iPod แต่ iPhone ก็ฟังเพลงได้เช่นกัน แต่ความจุของiPhone ในยุคนั้นยังไม่เยอะเท่า iPod

ต่อมา ผู้ใช้ iPhone ก็มีอุปกรณ์เสริมคู่ใจคือ Apple Watch ที่ล่าสุดใช้งานร่วมกับ iPhone ได้เป็นอย่างดีและสิ่งที่เกิดมาคู่กับ iPhone ก็คือ iOS ระบบปฏิบัติการของมือถือ iPhone นั่นเอง

และเมื่อเวลาผ่านไป ก็พัดพาบางสิ่งหายไปด้วย อย่างเช่น Apple และ Google แข่งกันเป็นที่หนึ่งของโลกยุคนั้นคนเล่นเน็ตรู้จัก Yahoo แต่ยุค 2022 อาจจะมีเด็กยุคใหม่ถามว่า Yahoo คืออะไร

ไม่เพียงแต่ iPhone แต่สิ่งที่เกิดมาพร้อมกันคือ หูฟัง iPhone แบบมีสาย ที่ทุกวันนี้ก็ยังมีขาย จะว่าไป หูฟังiPhone ก็เป็นตำนานเช่นกัน เพราะเราใช้หูฟังจนเหลืองซีดก็ยังไม่พัง แต่ล่าสุดพอไม่แถมหูฟัง ผู้ใช้ก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยด้วยหูฟังไร้สาย AirPods ที่ครองใจผู้ใช้ iPhone

ส่วน iMessage คือสิ่งประดิษฐ์ของ iPhone ที่ทำให้ผู้ใช้ iPhone คุยกันได้อย่างราบรื่น

สาย Lightning

อันนี้คือตำนานของ iPhone เพราะใช้สาย Lightning กันมาตั้งแต่ iPhone 5 และ iPad mini (รุ่นที่ 1) เป็นต้นมา ทุกวันนี้ iPhone 13 Series ก็ยังใช้สาย Lightning เพียงแต่ปลายสายอีกข้างเป็น USB-C บางคนยังมีสายเก่าที่เหลืองซีดแต่ยังใช้งานได้อยู่

iPhone 12 ไม่แถมอะแดปเตอร์ (หัวชาร์จ)

iPhone 12 เป็น iPhone รุ่นแรกที่ยกเลิกการแถมหัวชาร์จและหูฟังในกล่อง มีขนาดกล่องบางลง เล็กลงแถมเพียงสายชาร์จ USB-C to Lightning เท่านั้น โดย Apple ให้เหตุผลว่าช่วยรักษ์โลก แต่สุดท้ายผู้ใช้ก็ต้องซื้ออะแดปเตอร์และหูฟังเพิ่มเอง

iPhone 12 เป็น iPhone รุ่นแรกที่ยกเลิกการแถมหัวชาร์จและหูฟังในกล่อง มีขนาดกล่องบางลง เล็กลงแถมเพียงสายชาร์จ USB-C to Lightning เท่านั้น โดย Apple ให้เหตุผลว่าช่วยรักษ์โลก แต่สุดท้ายผู้ใช้ก็ต้องซื้ออะแดปเตอร์และหูฟังเพิ่มเอง

สำหรับหูฟัง หากไม่แถมก็ยังพอรับได้ เพราะหลายคนแกะมือถือมาใช้ ก็ไม่ได้ใช้หูฟังแถม หรือซื้อเครื่องใหม่ ก็ยังใช้หูฟังเก่า แต่หัวชาร์จ ถ้าไม่เคยใช้ iPhone มาก่อน ก็ต้องมาซื้อเพิ่มเอง

Facetime

ถือว่าล้ำมากๆ ในยุคที่เราใช้ 2G โทร FaceTime แบบเสียงและแบบวิดีโอ ในยุคนั้นใช้งานกับผู้ใช้iPhone ด้วยกัน ตอนหลังๆ ใช้ LINE Video Call คุยกันได้ทุกเครื่อง

หน้าจอ Retina

จอ iPhone สวย คม จนบรรดามือถือ Android ที่มาแข่งขันในตอนนั้นอย่าง Samsung ก็พยายามทำหน้าจอสวยๆ มาแข่ง ปัจจุบัน iPhone 13 ใช้หน้าจอ Super Retina XDR

Touch ID

iPhone กำเนิด Touch ID ในการใช้นิ้วกดเพียงเบาๆ แบบสัมผัส โดยตอนหลังใช้เซ็นเซอร์เพื่อยืนยันตัวบุคคลด้วยลายนิ้วมือ โดยเซ็นเซอร์ Touch ID อยู่ที่ปุ่มโฮมหรือปุ่มด้านบนสำหรับ iPad Air (รุ่นที่ 4) ซึ่งiPhone รุ่นแรกๆ จะมีปุ่มเดียวคือปุ่ม Home ตอนหลังเป็น Touch ID ความแปลกใหม่ของ Touch ID ไม่ใช่การกดให้บุ๋มลึกลงไป แต่เป็นการสัมผัสนิ้วค้างไว้จนกว่าจะรู้สึกถึงการสั่นเร็วๆ นอกจากนี้เรายังใช้Touch ID และ Face ID ในการปลดล็อค iPhone หรือยืนยันตัวตนซื้อสินค้า ซื้อแอปต่างๆ

Face ID

อีกอย่างนึงคือ การใช้ใบหน้ายืนยันตัวตน ใช้ได้บน iPhone รุ่นใหม่ๆ ใช้การจดจำใบหน้า Face ID โดยใช้ระบบกล้อง TrueDepth โดยจะต้องจดจำใบหน้าของเราก่อนเริ่มใช้งาน ถ้าจะเอาตามตรง Face ID ของ iPhone ดีกว่าของ Android ซึ่งใช้เวลาพัฒนาหลายปี ซึ่งยุคหลังๆ การสแกนใบหน้าบนมือถือAndroid ก็ปลดล็อคได้รวดเร็วมากๆ แล้ว โดย Face ID พร้อมให้ใช้งานใน iPhone และ iPad รุ่นที่รองรับ

Face ID ถือเป็นก้าวหนึ่งของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพราะเทคโนโลยีที่ช่วยให้ Face ID ใช้งานได้จริงคือฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยกล้อง TrueDepth จะจับข้อมูลใบหน้าอย่างแม่นยำโดยการฉายและวิเคราะห์จุดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าจำนวนหลายพันจุด เพื่อสร้างแผนผังแนวลึกของใบหน้าคุณ อีกทั้งยังจับภาพอินฟราเรดของใบหน้าคุณด้วยเช่นกัน เป็นส่วนหนึ่งของ Neural Engine ของชิพ A11, A12 Bionic, A12X Bionic, A13 Bionic, A14 Bionic และ A15 Bionic

กล้อง TrueDepth ล้ำหน้าที่คิด เมื่อยก iPhone ขึ้นมาเพื่อปลุกหน้าจอเครื่องให้ติดสว่าง ทุกครั้งที่คุณปลดล็อคมือถือ กล้อง TrueDepth จะจดจำใบหน้า โดยจับข้อมูลแนวลึกที่แม่นยำและจับภาพอินฟราเรดข้อมูลนี้จะถูกนำไปจับคู่เทียบกับการแทนค่าทางคณิตศาสตร์ที่จัดเก็บไว้เพื่อรับรองความถูกต้อง ดังนั้นเทคโนโลยีความปลอดภัยนี้ ถือเป็นความท้าทายที่พลิกโลก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังแนะนำให้ต้องกรอกรหัสหากใช้ใบหน้าปลดล็อคหน้าจอไม่ผ่าน

เวลาผ่านไป 15 ปี วันนี้ทุกคนใช้อินเทอร์เน็ตบนมือถือ ภายใต้สิ่งประดิษฐ์ของ Apple ก็คือ iPhone ที่ทำให้ Google เองก็เปิดระบบ Android แล้วแบรนด์ต่างๆ ก็นำ Android มาใช้กับมือถือของตน ทำให้ทุกวันนี้ เราเข้าอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือได้ทุกที่ จะว่าไป iPhone ผ่านช่วง 2G 3G 4G จนมาถึง 5G เปลี่ยนวิถีชีวิตคนไปมากจริงๆ ซึ่งยอมรับเลยว่า ระยะเวลา 15 ปี ไม่ใช่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่เปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปโดยสิ้นเชิง นับว่า Jobs เปลี่ยนโลกจริงๆ

Related Posts

Send this to a friend