SOCIAL RESPONSIBILITY

กทม. ตำรวจไซเบอร์ ดีแทค เปิดตัวโครงการ “ดีแทค Safe Internet” พร้อมลงพื้นที่ให้ความรู้ภัยไซเบอร์

นางอรอุมา ฤกษ์พัฒนาพิพัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารองค์กรและความยั่งยืน บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค ร่วมมือกับ นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ตำรวจไซเบอร์ (TICAC-CCIB) จัดโครงการ “ดีแทค Safe Internet” พร้อมลงพื้นที่ให้ความรู้เด็กนักเรียนสังกัด กทม. รับมือภัยไซเบอร์ ผ่านคาบเรียน “BMA x dtac Safe Internet School Tour” หลังพบข้อมูลเด็กไทยเสี่ยงตกเป็นเหยื่อ จากการแสวงหาประโยชน์ทางเพศออนไลน์ (Online Child Exploitation) สูงถึง 20% คิดเป็นสัดส่วนผู้กระทำผิดสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ประกอบกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ กระตุ้นเด็กแพร่ภาพของตัวเองแลกเงิน ทั้งนี้ดีแทคตั้งเป้าพัฒนาความรู้ ครอบคลุมนักเรียนประถมปลายทั่วประเทศ

นางอรอุมา กล่าวว่า “ดีแทค ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคม ตระหนักถึงภัยออนไลน์ที่เกี่ยวกับการแสวงหาประโยชน์ และการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางออนไลน์ ดังนั้นโครงการดีแทค Safe Internet จึงมุ่งส่งเสริมศักยภาพ ในการเข้าถึงทรัพยากรการศึกษา การให้ความรู้แก่เด็กและครูเกี่ยวกับการความปลอดภัย และการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างมีความรับผิดชอบ โดยได้ร่วมมือกับสำนักการศึกษากรุงเทพมหาครตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 จัดทำหลักสูตรและกิจกรรมส่งเสริมการตระหนักรู้ในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ที่มีมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย ให้ความร่วมมือและริเริ่มในการหยุดยั้งภัยดังกล่าว รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ต่อสังคม และการมีส่วนร่วมของพลเมืองอินเทอร์เน็ต ผ่านแคมเปญการสื่อสาร และจะขยายผลการอบรมให้ครอบคลุมนักเรียน ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นประถมปีที่ 5-6 ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป

“การเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับเด็กและเยาวชน เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการรับมือกับปัญหานี้เท่านั้น เพราะการจบปัญหานี้ยังคงต้องการ ผนึกกำลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ที่ช่วยกันสร้างความตระหนักในสังคม และบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเป็นระบบ และตัดตอนได้อย่างทันท่วงที”

นายศานนท์ กล่าวว่า “ปัจจุบันมีโรงเรียนในสังกัด กทม.ทั้งสิ้น 437 โรงเรียน ครอบคลุม 50 เขต นักเรียนทั้งสิ้น 261,160 คน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับ dtac Safe Internet ในการอบรมความรู้ด้านความปลอดภัย ในการใช้งานออนไลน์ให้ความรู้แก่เด็กนักเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร อายุระหว่าง 11-13 ปี (ป.5-6) จำนวน 50 โรงเรียน กว่า 10,000 คน ผ่านคาบเรียน “BMA x dtac Safe Internet School Tour” เพื่อให้มีองค์ความรู้และภูมิคุ้มกันต่อภัย การแสวงหาประโยชน์ทางเพศออนไลน์ เข้าใจถึงกระบวนการและสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที จากการลงพื้นที่อบรมที่ผ่านมาพบว่า นักเรียนราว 3% เคยถูกร้องขอ ข่มขู่หรือกดดันให้ส่งรูปภาพ หรือทำพฤติกรรมทางเพศทางออนไลน์ 13% เคยส่งรูปภาพ วิดีโอ หรือข้อมูลส่วนตัวให้คนแปลกหน้า และ 3% เคยได้รับภาพ ข้อความหรือวิดีโอที่มีเนื้อหา ส่อไปทางเพศ โดยช่องทางที่มิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามา ประกอบไปด้วยช่องทางโซเชียลมีเดีย เกมส์ออนไลน์ รวมถึงแอพพลิชั่นใหม่ๆที่ผู้ใหญ่ยังไม่คุ้นเคย”

“ข้อมูลจากทางตำรวจและแบบสำรวจที่ กทม.จัดทำร่วมกับดีแทค สะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหา ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งในฐานะรองผู้ว่าฯที่ดูแลโรงเรียนในสังกัด กทม.พร้อมยกปัญหานี้ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไขผ่านการอบรม ให้ความรู้ สร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล โดยดีแทคทำหลักสูตรเข้าถึงประถมปลายทั่วประเทศ ความรุนแรงของภัยการแสวงหาประโยชน์และการล่วงละเมิดทางเพศ ต่อเด็กทางออนไลน์เป็นภัยคุกคาม ที่องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) มีวาระให้บรรจุอยู่ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ภายในปี 2573 ดังข้อต่อไปนี้ ข้อ 5.2 ขจัดความรุนแรงทุกรูปแบบ ที่มีต่อผู้หญิงและเด็กหญิงทั้งในที่สาธารณะและที่รโหฐาน รวมถึงการค้ามนุษย์ การกระทำทางเพศ และการแสวงประโยชน์ในรูปแบบอื่น และข้อ 16.2 ยุติการข่มแหง การใช้หาประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง การค้ามนุษย์ และความรุนแรงและการทรมานทุกรูปแบบที่มีต่อเด็ก”

ด้าน พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ในฐานะผู้ปฏิบัติงานในชุดปฏิบัติการ ปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (TICAC) กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง และเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงจากการเผยแพร่สื่อ ที่มีการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางออนไลน์ ถ้าดูจากสถิติที่ได้รับรายงานจาก NCMEC พบว่าตั้งแต่ปี 2562 ประเทศไทย ได้รับรายงานการตรวจพบสื่อลามกอนาจารเด็กเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยในปี 2562 พบ 117,213 รายงานในปี 2563 พบ 396,049 รายงาน ในปี 2564 พบ 586,582 รายงาน และในปี 2565 พบ 523,169 รายงาน ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีการจับกุม ตัวผู้กระทำความผิดได้เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกัน พบว่าเว็บมืดซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก ในการหาแสวงผลประโยชน์ทางเพศจากเด็กในไทยยังมีการเติบโตสูงถึง 5 เท่า

“จากสถิติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า คนร้าย 1 คนสามารถสร้างความเสียหาย ต่อเหยื่อที่เป็นเด็กได้ถึง 1,000 คน เด็กถึง 20% มีโอกาสตกเป็นเหยื่อ จากการแสวงหาประโยชน์ทางเพศออนไลน์ และเมื่อตกเป็นเหยื่อแล้ว พบว่า 56% ของเด็กเลือกที่จะไม่บอกใคร ทั้งนี้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและไม่เท่าเทียมทางรายได้ ยังส่งผลให้เด็กและเยาวชนใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผลิตและเผยแพร่ภาพหรือวิดีโอทางเพศด้วยตัวเอง เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือสิ่งของต่างๆ”

“การสื่อสารออนไลน์เป็นช่องทางสำคัญ ที่ช่วยให้ผู้กระทำผิดเข้าถึงตัวเด็กได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของเด็ก เพื่อหลอกลวง บีบบังคับ ชักชวน และแสวงหาประโยชน์จากพวกเขา กลไกการคุกคามของอาชญากร ถือเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง ทำลายซึ่งสิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรี และความมั่นคงของมนุษย์”

“ทั้งนี้ตามกฎหมายไทย ความผิดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีความเสียหาย เกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเท่านั้น ตำรวจไม่สามารถแจ้งความผิด ต่ออาชญากรได้ในขั้นตอนแสวงหา ไม่ว่าจะเป็นการสอดส่องพฤติกรรมตัวตน และความชอบของเหยื่อ (Cyber Stalking) การสร้างความเป็นมิตร เข้ามาตีสนิทให้เด็กตายใจ เพื่อล่วงละเมิดทางเพศในภายหลัง (Child Grooming) รวมถึงบทสนทนาว่าด้วยเรื่องเพศ (Sexting) ดังนั้นการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัล ให้เด็กด้วยองค์ความรู้ รู้จักระแวดระวังและแนวทางการรับมือกับปัญหา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ก่อนที่จะเกิดเหตุบานปลายขึ้น ซึ่งอาชญากรไซเบอร์นั้น จะเก็บภาพเหยื่อไว้บนออนไลน์ (Digital footprint) ซึ่งยากต่อการลบให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง”

Related Posts

Send this to a friend