สช. ชูพลัง ‘ชุมชน’ บทบาทสำคัญขับเคลื่อน ‘สิทธิการตายดี’
ยก ‘พระ-อสส.-อสม.’ Influencer สร้างความรู้ความเข้าใจแก่คนในชุมชน
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีสนทนานโยบายเรื่อง “พลังชุมชนสู่สิทธิการตายดี” ณ ลานเอนกประสงค์ ชั้น 1 สวนโมกข์ กรุงเทพมหานคร (กทม.) แลกเปลี่ยนมุมมองต่อสิทธิการตายดี รวมถึงประสบการณ์การดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนสิทธิตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550
พระครูนิติสุตาภร ดร. รองเจ้าคณะอำเภอลาดยาว จ.นครสวรรค์ และเจ้าอาวาสวัดหนองกระดูกเนื้อ กล่าวว่า วัดได้ขับเคลื่อนเรื่องการตายดีมาตั้งแต่ปี 2557 พร้อมหนุนเสริมการขับเคลื่อนกลไกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชมรมผู้สูงอายุ โรงเรียนผู้สูงอายุ ศูนย์นักบริบาลสร้างสุขชุมชน สถานชีวาภิบาล กุฏิชีวาภิบาล ฯลฯ ที่ให้ความช่วยเหลือดูแลทั้งญาติที่เจ็บป่วย รวมถึงพระที่อาพาธ โดยมองว่าวัดถือเป็นกลไกสำคัญที่เข้าถึงคนในชุมชนได้มากกว่าหน่วยงานภาครัฐหรือท้องถิ่น
พระครูนิติสุตาภร กล่าวว่า หากทำให้วัดเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาวะชุมชนได้ จะเป็นแรงหนุนเสริมสำคัญในการช่วยดูแลคนในชุมชนได้ ตั้งแต่เกิดดี แก่ดี เจ็บดี และตายดี ซึ่งวัดได้รับโครงการต่าง ๆ จากหลากหลายหน่วยงานเข้ามาขับเคลื่อน วัดได้ออกแบบทิศทางการทำงานของชุมชนเอง โดยเขียนเป็นกติกาข้อตกลงผ่าน “ธรรมนูญสร้างสุขชุมชน” และประกาศเป็นนโยบายผ่านสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เพื่อเป็นความเข้าใจที่เกิดขึ้นร่วมกันทั้งผู้บริหารท้องถิ่น และคนในชุมชน
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า เรื่องสุขภาวะที่ดี ต้องมองครอบคลุมตั้งแต่การเกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี และตายดี แม้ที่ผ่านมาจะได้รับการดูแลที่ดี แต่สุดท้ายไม่มีใครรู้ว่าจะตายดีหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมและมีแผนรองรับ ประชาชนมีสิทธิที่จะแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพฯ แต่ต้องยอมรับว่าการใช้สิทธินี้บางครั้งอาจไม่ง่าย เพราะตัวระบบอาจยังไม่รองรับเต็มที่
“ในช่วงบั้นปลายหลายคนอยากเสียชีวิตตามธรรมชาติ ท่ามกลางญาติพี่น้อง ไม่ใช่ตายอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสายระโยงระยาง แต่ถ้าหากเราไม่มีระบบรองรับ เมื่อถึงวันหนึ่งที่เราไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็จะถูกยื้อชีวิตต่อไปเรื่อย ๆ แต่วันนี้คือโอกาสสำคัญที่เราจะมาช่วยกันมองถึงประสบการณ์ทำงานต่า งๆ จากในพื้นที่ ไม่ว่าจะในแง่ของความเชื่อ ทัศนคติ หรือกลไกสนับสนุน เพราะจุดสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้คือพลังของชุมชน” นพ.สุเทพ กล่าว
นพ.สุเทพ กล่าวอีกว่า สช. ได้พัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Living Will) ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงสิทธิตามมาตรา 12 ได้ง่ายขึ้น และยังสามารถแก้ไขได้ตลอดเวลา มีการจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบคลาวด์ที่มั่นคงปลอดภัย ในอนาคตจะเชื่อมกับระบบสารสนเทศของโรงพยาบาล (HIS) ช่วยให้ผู้ให้บริการสุขภาพเข้าถึงข้อมูลและทราบเจตนาของผู้ป่วยได้สะดวกขึ้น
นายอดิศักดิ์ วรวิชวลิตวัชระ ผอ.รพ.สต.ห้วยงู จ.ชัยนาท กล่าวว่า พื้นที่ของห้วยงูมีการใช้คำว่า “บริษัทสร้างสุข” เป็นกลไกสำคัญในการรวมกลุ่มภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ในการดูแล 5 มิติหลัก คือ สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสวัสดิการ ประเด็นเรื่องการตายดีจะไม่ได้รอไปสื่อสารกับคนที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตแล้วเท่านั้น แต่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้สูงวัยตั้งแต่ในระยะติดสังคมที่ยังสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้
นพ.เติมชัย เต็มยิ่งยง ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ผู้ที่ต้องได้รับการดูแลไม่ใช่แค่ตัวผู้ป่วย แต่ยังมีครอบครัวหรือชุมชนที่ต้องได้รับการสนับสนุน สปสช. จัดสรรงบประมาณให้ผ่านค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน เหมาจ่าย 10,442 บาทต่อคนต่อปี จากเดิมให้สำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ทว่าตั้งแต่ปี 2568 ผนวกเอาผู้ป่วยระยะสุดท้ายเข้ามาอยู่ในงบประมาณ
นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณส่วนอื่น ๆ ทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) จัดสรร 45 บาทต่อหัวประชากร ให้ชุมชนเขียนขอไปดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ หรือกองทุนฟื้นฟูสมรรถภาพระดับจังหวัด ที่สามารถนำไปใช้ในการดูแล ปรับสภาพบ้าน หรือให้อุปกรณ์ที่จำเป็น รวมไป Caregiver ก็กำลังจะสนับสนุนให้มีงบประมาณในการจัดจ้างและจัดระบบนักบริบาลที่ทั่วถึงและเป็นธรรม
ดร.ประวีณมัย บ่ายคล้อย สื่อมวลชน และพิธีกรรายการข่าว กล่าวว่า การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องนี้ อยากมุ่งเน้นไปถึงการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนในปัจจุบัน รวมถึงความสำคัญของสื่อออฟไลน์ ที่ไม่ว่าพระ อสม. หรือ อสส. ล้วนแต่เป็น Influencer ในชุมชนที่มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้ป่วยและครอบครัว สามารถมีบทบาทเป็นพลังสำคัญในการให้ความรู้ความเข้าใจ รวมถึงช่องทางตามโรงพยาบาลทุกแห่งทั้งของภาครัฐและเอกชน ที่น่าจะมีการสื่อสารเรื่องนี้มากขึ้น เพราะแม้แต่แผนก Palliative Care ในหลายแห่งก็มีชื่อไม่เหมือนกัน และต้องถามหาจึงได้รู้ว่ามีอยู่