กรมการแพทย์ เตือนภัยความร้อน ‘แรงงาน’ เสี่ยงป่วย แนะวิธีป้องกัน-ปฐมพยาบาล ‘ลมแดด’
วันนี้ (23 เมษายน 2568) โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ ออกประกาศเตือนภัยสุขภาพในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย ซึ่งปกติจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยระบุว่าประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่จำเป็นต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูง ถือเป็นกลุ่มที่น่ากังวลเป็นพิเศษ
กลุ่มดังกล่าวรวมถึงผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง เช่น เกษตรกร คนงานก่อสร้าง และผู้ที่ทำงานใกล้แหล่งกำเนิดความร้อน อาทิ ในโรงหลอม หรือโรงงานที่มีเครื่องจักรความร้อนสูงและระบายอากาศไม่ดี ทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคที่เกี่ยวกับความร้อน
นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ อธิบายว่า โรคจากความร้อนเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกได้ทัน เพื่อรักษาอุณหภูมิแกนกลางไว้ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิภายนอกสูงกว่าร่างกาย กลไกการระบายความร้อนตามธรรมชาติ เช่น การหลั่งเหงื่อ การขยายตัวของหลอดเลือดที่ผิวหนัง (ซึ่งทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญลดลง) การหายใจ และการพาความร้อน จะทำงานได้ไม่เต็มที่ เมื่อร่างกายร้อนจัดและเริ่มขาดน้ำ จะมีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด เป็นลม หากเสียเกลือแร่ร่วมด้วยจะเกิดตะคริว หากไม่ได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่อาการขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ เกิดภาวะอวัยวะล้มเหลว การรับรู้สติเปลี่ยนแปลง หมดสติ และกลายเป็นโรคลมแดด (Heat Stroke) ในที่สุด ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรีบช่วยเหลือ มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
รองอธิบดีกรมการแพทย์ ยังแนะนำข้อปฏิบัติง่ายๆ สำหรับผู้ใช้แรงงานเพื่อป้องกันโรคจากความร้อน เริ่มจากการสำรวจตนเองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ควรพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานกลางแจ้งหรือในที่ร้อนจัด หากเลี่ยงไม่ได้ให้สลับกันทำงาน หรือพยายามทำงานกลางแจ้งให้เสร็จก่อนเวลา 13.00 น ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุด สิ่งสำคัญคือต้องดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ ทุก 15-20 นาที แม้จะไม่รู้สึกกระหาย โดยสถานประกอบการควรจัดหาน้ำดื่มให้เข้าถึงง่าย (การดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่อาจไม่เหมาะสมหากมีน้ำตาลสูงและดื่มในปริมาณมาก) นอกจากนี้ ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และกาแฟ หากรู้สึกร้อนผิดปกติ เหงื่อออกมาก กระหายน้ำจัด ปัสสาวะน้อยหรือมีสีเข้ม ให้รีบหยุดพักในที่ร่มหรือห้องปรับอากาศทันที พร้อมทั้งสังเกตอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น เวียนศีรษษะ คลื่นไส้ หน้ามืด หากมีอาการเหล่านี้ต้องหยุดทำงาน หลบเข้าที่ร่ม แจ้งเพื่อนร่วมงาน และติดต่อพบแพทย์
ในกรณีที่เพื่อนร่วมงานมีอาการรุนแรง ให้รีบติดต่อขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ หรือนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ระหว่างรอ ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยนำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม ถอดเสื้อผ้าออก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว โดยเน้นบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ และลำตัว หากผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ให้พยายามให้ดื่มน้ำเปล่า
ด้าน นายแพทย์เกรียงไกร นามไธสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กล่าวเสริมว่า สถานประกอบการมีบทบาทสำคัญในการป้องกัน โดยควรสำรวจและระบุตัวแรงงานกลุ่มเสี่ยง ประเมินสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีความร้อนสูง พร้อมทั้งปรับปรุงการระบายอากาศ จัดหาที่พักในร่ม และให้ความรู้แก่พนักงานเกี่ยวกับอันตรายจากความร้อนและการดูแลตนเอง นอกจากนี้ ควรเตรียมช่องทางในการส่งต่อผู้ป่วยไปพบแพทย์อย่างรวดเร็ว และมีการเตรียมความพร้อมในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เนื่องจากโรคลมแดดเป็นภาวะอันตรายถึงชีวิต ไม่ควรประมาท