PUBLIC HEALTH

สธ. – ส.แพทย์เฉพาะทาง ยืนยันการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูง

ย้ำ มีประโยชน์สามารถป้องกันสายพันธุ์ที่ระบาดในไทย แนะ กลุ่มเสี่ยง และผู้สูงวัยที่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น รับบริการได้ที่ รพ.ใกล้บ้าน

กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค และกรมการแพทย์ ร่วมกับสมาคมแพทย์เฉพาะทาง แถลงข่าวเรื่องการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ และการนำมาใช้รักษาโควิด 19 เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ในการเข้ารับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ณ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์เฉพาะทางเข้าร่วม ได้แก่ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย สมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย และสมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย

นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า “การใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปว่า ที่ผ่านมาได้นำมาฉีดเพื่อป้องกัน ก่อนการสัมผัสเชื้อในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ และร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ จากการฉีดวัคซีน รวมถึงนำมาใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด 19 พบว่ามีความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง โดยในวันที่ 16 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์เฉพาะทาง ได้มีการจัดประชุมแนวทาง การให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ซึ่งยังคงแนะนำให้กลุ่มเสี่ยง 607 และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ และยังคงแนะนำให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป เป็นหนึ่งในยาหลักในการรักษาผู้ป่วย ทั้งนี้กลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยโควิด 19 ที่เข้าเกณฑ์ สามารถเข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ได้ที่โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สถานพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ทุกแห่งทั่วประเทศ สถาบันบำราศนราดูร และสถานพยาบาลโรงเรียนแพทย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”

ด้าน ศ.พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล ผู้แทนราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “กลุ่มเป้าหมายที่แนะนำให้เข้ารับ การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปเพื่อป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ ได้แก่ ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ หรือได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยา หรือมะเร็งอวัยวะที่กำลังได้รับการรักษาหรือเพิ่งหยุดการรักษาภายใน 6 เดือน ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ผู้ป่วยโรคข้อและรูมาติสซั่ม หรือโรคอื่นๆที่กำลังได้รับยากดภูมิคุ้มกัน รวมถึงผู้ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่ามีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งควรได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป”

“นอกจากนี้ยังแนะนำให้เพิ่มขนาดการให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ เป็น 600 มิลลิกรัม (Tixagevimab 300 มิลลิกรัม และ Cilgavimab 300 มิลลิกรัม) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกทั้ง 2 ข้างแยกกันตามลำดับ โดยจะป้องกันโรคได้นานประมาณ 6 เดือน ต่อการฉีด 1 ครั้ง ทั้งนี้ ยืนยันว่ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปที่ยังมีอยู่ขณะนี้ ยังใช้ได้ดีกับสายพันธุ์ BA 2.75 และ BN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปมีประสิทธิภาพดีและมีความปลอดภัยสูง”

ขณะที่ นพ.สุชาย ศรีทิพยวรรณ ผู้แทนสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้ป่วยโรคไตที่แนะนำให้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ได้แก่ ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยฟอกไต และผู้ป่วยไตอักเสบที่ได้รับยากดภูมิ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตที่เป็นผู้สูงอายุ หรือยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป จะทำให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวมีภูมิคุ้มกันต่อโควิด 19 ลดความรุนแรงจากการติดเชื้อ และจากข้อมูลการเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ภายหลังได้รับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป พบว่ามีความปลอดภัยสูง”

ศ.ดร.พญ.อติพร อิงค์สาธิต ผู้แทนสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ทางสมาคมได้ประชุมทบทวนข้อมูลงานวิจัย การใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ และมีความเห็นควรแนะนำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ ซึ่งมีอยู่ในประเทศไทยจำนวนกว่า 6,000 ราย เข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป เนื่องจากเป็นผู้ที่ต้องรับยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต ซึ่งหากติดเชื้อโควิด 19 จะเกิดภาวะรุนแรงและมีโอกาส เกิดภาวะสลัดอวัยวะสูงขึ้น หากมีการปรับลดยากดภูมิคุ้มกัน ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับ การป้องกันการติดเชื้อเป็นอย่างมาก”

“นอกจากนี้เมื่อจำเป็นต้องได้รับยา สำหรับการรักษาโควิด 19 อาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากดภูมิที่ใช้ และยารักษาโควิด 19 อีกทั้งข้อมูลจากการใช้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ประมาณ 1,200 ราย พบว่ามีความปลอดภัยสูงสามารถให้ได้ ร่วมกับยากดภูมิที่ได้รับอยู่ และพบอัตราการติดเชื้อโควิด 19 ต่ำ รวมถึงสามารถลดอาการรุนแรง การเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติ และการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ”

นพ.วิรัตน์ ภิญโญพรพานิ ผู้แทนสมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “การให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่ทำให้ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด และสามารถใช้ได้ดีทั้งการป้องกันและการรักษา ทั้งนี้พบว่าจากผลการศึกษาและจากประสบการณ์การใช้จริง ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงและผลข้างเคียงที่ต่ำมาก”

พญ ปิยะธิดา หาญสมบูรณ์ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กล่าวว่า “การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปเพื่อรักษา โดยแนะนำให้ฉีดภูมิคุ้มกันสําเร็จรูปในผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มผู้ใหญ่ และสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป และน้ำหนัก 40 กิโลกรัมขึ้นไป ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรครุนแรง หรือ มีโรคร่วมสำคัญ หรือ ผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยใช้ขนาด 600 มิลลิกรัม ด้วยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพกทั้ง 2 ข้างแยกกันตามลำดับ จำนวน 1 ครั้ง และควรรับให้เร็วที่สุดหรือภายใน 7 วัน หลังจากเริ่มมีอาการ”

Related Posts

Send this to a friend