ผู้ติดเชื้อโควิดรายสัปดาห์พุ่งจากสัปดาห์ที่แล้ว 1,433 คน พบผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608
วันนี้ (3 ก.ค. 67) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด 19 โดยรวมพบผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล สะสมตั้งแต่ต้นปี 31,205 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิตสะสม 172 ราย ในช่วงระหว่างวันที่ 23-29 มิถุนายน 2567 พบผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล 3,256 ราย เฉลี่ยวันละ 465 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 709 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 336 ราย และเสียชีวิต 16 ราย โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้ ยอดผู้ป่วยรายใหม่ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลมีตัวเลขที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงระหว่างวันที่ 16-22 มิถุนายน 2567 ซึ่งมีผู้ป่วยอยู่ที่ 1,823 ราย เฉลี่ยวันละ 260 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ 732 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 347 ราย และเสียชีวิต 12 ราย ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบจะลดลง แต่จำนวนผู้ป่วยกลับสูงขึ้น
นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคโควิด 19 มีลักษณะการระบาดเป็นฤดูกาลคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่ หรือสัมพันธ์กับช่วงที่มีกิจกรรมการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น การเปิดเรียน การเข้าค่าย การฝึกทหารเกณฑ์ ซึ่งคาดว่าจำนวนการป่วยรายสัปดาห์จากโควิดจะยังเพิ่มขึ้นและน่าจะสูงสุดในช่วงเดือนกรกฎาคม จึงแนะนำผู้ที่มีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ควรตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วย ATK หากพบผลติดเชื้อ (ขึ้น 2 ขีด) ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แยกตัว ไม่ใกล้ชิดกับผู้อื่นและรีบพบแพทย์ โดยเฉพาะกลุ่ม 608 เนื่องจากเสี่ยงมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้
นายแพทย์ธงชัย กล่าวว่า แนะนำให้กลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัดเมื่อเข้าไปในสถานที่เสี่ยง และเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด 19 โดยยึดหลัก D-M-H คือ D=Distancing เว้นระยะห่าง, M=Mask Wearing สวมหน้ากากอนามัย, H=Hand Washing ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ หากมีอาการสงสัยว่าป่วยควรตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วย และหากพบติดเชื้อควรรีบพบแพทย์ทันที
ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยรายสัปดาห์จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม นายแพทย์อภิชาต ระบุว่า อัตราป่วยตายของโรคนี้ในภาพรวมเท่ากับร้อยละ 0.04 ถือว่าน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราป่วยตายในช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าที่มีอัตราป่วยตายถึงร้อยละ 2.16 (ข้อมูล มิ.ย. 64) นอกจากนี้ อัตราป่วยตายเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยในโรงพยาบาลเท่ากับร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับปี 2566
