“ให้งานของผมได้เป็นเพื่อนคุณ”: สำรวจความรู้สึกผ่านภาพวาดของศิลปินป่วยจิต ผู้เชื่อว่าศิลปะจะช่วยเยียวยาหัวใจผู้ป่วยด้วยกัน
“ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย”
“ทำไมฉันไม่ปกติเหมือนคนอื่น”
“ฉันอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้”
ข้อความเหล่านี้ อาจเป็นเสียงของผู้ป่วยหลายคนที่ต้องแบกรับสภาวะอันย่ำแย่ที่ก่อตัวอยู่ภายในจิตใจ เพราะแม้เรื่องสุขภาพจิตจะถูกกล่าวถึงเป็นปกติในสังคมปัจจุบัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หากคุณไม่ใช่ผู้ป่วยก็นับได้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
บ่อยครั้งผู้ป่วยทางจิตเวชต้องเผชิญกับความรู้สึกแปลกแยก แม้จะมีคนรอบข้างรายล้อม แต่พวกเขาก็ต้องต่อสู้กับสภาวะที่เกิดขึ้นในจิตใจตัวเองเพียงลำพัง นำมาสู่ความรู้สึก ‘โดดเดี่ยว’ ราวกับต้องอยู่ตัวคนเดียวบนโลก แต่คำว่า ‘โดดเดี่ยว’ กลายเป็นแรงผลักดันให้ ‘บอล-เจริญธง กังน้อย’ (นามปากกา JTKN) ผู้เป็นทั้งศิลปินนักวาด และผู้ป่วยทางจิตเวช เริ่มสร้างสรรค์ผลงาน ‘ศิลปะบำบัด’ ที่จะคอยอยู่เป็น ‘เพื่อน’ เยียวยาจิตใจ ท่ามกลางการต่อสู้กับภาวะทางจิตของผู้ป่วยคนอื่น ๆ และส่งสารไปถึงพวกเขาว่า
“คุณไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังบนโลกใบนี้ แต่เราจะโดดเดี่ยวไปด้วยกัน”
ความน่าสนใจของบอลไม่ใช่แค่การเป็นศิลปินป่วยจิตผู้มีปณิธานแรงกล้าในการปลอบประโลมหัวใจของเหล่า ‘เพื่อน’ แต่ยังได้นำอาการสับสนทางบุคลิกภาพของตัวเองมาโลดแล่นบนผืนผ้าใบ เพื่อสร้างสรรค์ชิ้นงานอันเปี่ยมไปด้วยความหมาย ส่งสารไปยังผู้ป่วย และสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจสภาวะที่พวกเขาต้องเผชิญ
ศิลปินผู้นี้ต้องเผชิญกับสภาวะภายในจิตใจมากมาย แต่ในวันนี้เขาเลือกที่จะเรียนรู้ อยู่ร่วมกับมัน และปรับมุมคิดให้อาการของเขาเป็นประโยชน์กับผู้คนได้ The Reporters ขอพาผู้อ่านสำรวจตัวตน และการบำบัดด้วยศิลปะในแบบ บอล-เจริญธง

อาการที่ไม่เคยมีสัญญาณมาก่อน
“ตอนนั้นเราเปลี่ยนไป จากคนที่เคยร่าเริงกลับกลายเป็นมีความคิดเรื่องความตายน่าจะเป็นทางออก ทั้งที่โดยปกติแล้วตัวตนของเราไม่เคยมีความเชื่อแบบนั้น” บอล เล่าถึงความผิดปกติแรกที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ก่อนที่จะตรวจพบว่า ตัวเองกำลังเผชิญกับ ‘ภาวะซึมเศร้า’ (Depression) ตอนเรียนอยู่แผนกจิตรกรรมชั้นปีที่ 3
หลังจากรักษามาได้เกือบปีครึ่ง บอลค้นพบโรคที่ชื่อไม่คุ้นหู ซึ่งสร้างความสับสนให้เขาไม่น้อย เมื่อแพทย์แจ้งว่าบอลป่วยเป็น ‘โรคไบโพลาร์’ ที่อารมณ์ส่วนใหญ่ของเขาจะอยู่ในภาวะซึมเศร้า มากกว่าภาวะคึกคักอย่างผิดปกติ (Mania)
แม้จะรักษาตัวจนเข้าปีที่ 4 แต่กลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซ้ำร้ายเรื่องราวดูเหมือนจะวนกลับสู่เส้นเรื่องเดิม เมื่อบอลตรวจพบอีกครั้งว่า ตนนั้นมีโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) เพิ่มเข้ามาด้วย ทว่าไม่ใช่ในแบบที่คนทั่วไปคุ้นเคยกัน
“ตอนนั้นเรามีความคิดที่จะฆ่าคนในครอบครัว โดยที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของความคิดนั้น แต่เหมือนมีภาพมีเสียงก้องอยู่ในหัวยุแยงให้ทำอยู่ตลอด”
แม้จะเป็นที่รู้กันว่า OCD คือโรคที่ผู้ป่วยจะคิด หรือทำเรื่องเดิมซ้ำไปมา อย่างไรก็ตาม ยังมี OCD อีกประเภทที่ผู้ป่วยจะมีความคิด หรือภาพที่รุนแรงเกี่ยวกับการทำร้ายผู้อื่นผุดขึ้นมาในหัวซ้ำ ๆ เรียกว่า กลุ่มอาการความคิดรุนแรงที่ไม่พึงประสงค์ (Intrusive Harmful Thoughts) ซึ่งบอลจัดเป็นผู้ป่วยประเภทนี้ และทำให้ในปีนั้นบอลแทบไม่ได้สัมผัสกับงานศิลปะที่เขารักเลย

นอกจากอาการซึมเศร้าจากโรคไบโพลาร์ และโรค OCD ที่เขาต้องเผชิญ สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตด้านงานศิลปะของชายผู้นี้ไปอีกครั้งคือตัวตนที่มาพร้อมกับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็น ‘โรคจิตเภท’ (Schizophrenia)
“ในหัวเราเริ่มมีเสียงเข้ามา และเราเริ่มรู้จักชื่อของพวกเขา น้ำขิง ไบร์ท บอส และอีกคนที่ยังไม่บอกชื่อ ซึ่งเราไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น มันแฟนตาซีจนเหมือนเรื่องโกหก”

ศิลปะบำบัดตัวเอง
ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับสภาวะทางใจมากมาย บอลใช้เวลารักษาตัวอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่เขาจะสามารถยอมรับ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการของตัวเองได้ว่า ‘สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวทั้งหมดไม่ใช่ความคิดของเขา’ และจะไม่กล่าวโทษตัวเองมากกว่านี้
“ตอนนั้นเราคิดว่า ตัวเองต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างให้ได้ เพื่อให้เรารู้สึกมีคุณค่ามากพอที่จะใช้ชีวิตต่อไป”
‘งานศิลปะ’ จึงเป็นสิ่งแรกที่ประคองให้บอลลุกขึ้นมายืนหยัดได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง เดิมทีหมุดหมายแรกเขาเพียงต้องการเยียวยาจิตใจตัวเอง จึงเริ่มใช้พู่กันแทนปากกาเพื่อทำการจดบันทึก และระบายความรู้สึกภายในจิตใจออกมาผ่านเฟรมผ้าใบ
บอลยึดอาชีพศิลปินอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่แรกเป็นสัมมาอาชีพ เขาวาดภาพภายใต้หัวข้อเรื่องอาการทางจิตมาโดยตลอด จนกระทั่งอาการป่วยได้ชักนำชายผู้นี้พบกับนักจิตบำบัดที่รักษาเขา และสนใจชิ้นงานที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของบอล เป็นจุดเริ่มต้นให้ผลงานของบอลได้ไปจัดแสดงใน MindBloom Gallery นิทรรศการของคลินิกบำบัดทางจิต ทำให้บอลค้นพบปณิธานในการช่วยเหลือผู้คนที่เผชิญเรื่องเดียวกับเขา
“MindBloom เป็นโลกทัศน์ใหม่ของเรา เพราะหลังจากการจัดแสดงก็มีผู้คนมากมายส่งข้อความมาถึงเรา พวกเขาต่างมีปัญหาในใจที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ทำให้เราอยากส่งต่อผลงานของเราเพื่อสื่อสารไปว่า เราก็เผชิญมาเหมือนกัน แล้วเราจะพาคุณก้าวข้ามไปสู่จุดที่สามารถอยู่กับตัวเองได้เหมือนเรา”

บอล กล่าวว่า บางคนถึงกับอยากเป็นแฟนคลับ และขอติดตามผลงานไปเลย ช่วงแรกเขาก็สงสัยว่าทำไม แต่สุดท้ายก็ค้นพบคำตอบว่า เพราะงานของเขากลายเป็นเพื่อนของผู้คนเหล่านั้นไปแล้ว ดังนั้นนิทรรศการในครั้งนั้นจึงทำให้บอลรู้สึกว่า งานของเขานั้นมีคุณค่ากับผู้คน ทำให้ชายผู้ที่เคยทิ้งไว้แต่เพียงนามปากกา เริ่มเปิดใจที่จะเปิดเผยตัวตนมากขึ้น
บอล เล่าถึงเหตุผลของการปกปิดชื่อจริงไว้ว่า เป็นการรักษาอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานบางชิ้น ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าลึก ๆ กังวลว่าอาจไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจเรื่องของจิตเวชได้ง่ายนัก แต่ตอนนี้บอลค้นพบว่า การเปิดเผยตัวตนในตอนที่แข็งแรงขึ้น ไม่ใช่แค่การก้าวข้ามผ่านความเปราะบางของตัวเอง แต่ยังเป็นความตั้งใจที่จะยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อเป็นหลักให้ใครอีกหลายคนที่ยังล้มอยู่
“ฉันแข็งแรงขึ้นแล้ว มันถึงเวลาที่ฉันจะช่วยเหลือคนแบบฉันได้แล้ว” บอลเล่าถึงหลักคิดของเขา นำไปสู่หมุดหมายใหม่ที่จะทำให้งานของเขากลายเป็น ‘เพื่อน’ ยามเปราะบางของผู้ที่ผ่านมาพบ
นอกจากนี้ บอลยังเสริมว่า การเผยตัวเองออกมาจะสามารถทำให้ผู้ป่วยได้รู้จัก และเปิดใจให้กับศาสตร์แห่งการใช้ศิลปะบำบัด ซึ่งสามารถช่วยคนแบบพวกเขาได้จริง
“หากเขาได้เห็นงานของเราแล้วรู้สึกมีกำลังใจจนสามารถลุกขึ้นไปทำในสิ่งที่ตัวเองรักได้ ก็ถือเป็นผลตอบแทนที่ดี เขาไม่จำเป็นต้องมาวาดรูปแบบเรา แต่กุญแจสำคัญคือการเป็น ‘เครื่องส่งสัญญาณ’ ที่บอกว่า ยังมีบางสิ่งบางอย่างในชีวิตที่คุณทำได้ดี”
บันทึกสเตตัสและให้อิสระกับชิ้นงาน
การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ โดยทั่วไปต้องเริ่มต้นจากการกำหนดคอนเซปต์ของชิ้นงาน เช่นเดียวกับบอลที่แม้เขาจะมีเรื่องหลักที่จะเล่าเป็นเรื่องอาการทางจิต ทว่าแต่ละชิ้นงานก็มีคอนเซปต์ที่แตกต่างกัน โดยยึดอยู่กับว่า ในช่วงนั้นเขากำลังเผชิญอยู่กับเรื่องอะไร ชิ้นงานจึงคล้ายกับ ‘การบันทึกสถานะ’ ของเขาไปในตัว
“เราเคยจัดนิทรรศการที่บ้านแสนแสบ (Baan Saen Saep) ซึ่งมีคอนเซปต์ ‘คนแปลกหน้า’ เพราะตอนนั้นเราเผชิญกับความสับสนทางบุคลิกภาพ แล้วคิดกับตัวเองว่า วันนี้ใครในตัวเราจะไปทำร้ายคนอื่น”
นอกจากนี้ บอลยังมีแนวคิดในการเปิดพื้นที่ให้อิสระในกระบวนการสร้างงานอยู่เสมอ ซึ่งสอดรับกับสิ่งที่ต้องการสื่อสารว่า ความเจ็บป่วยทางอารมณ์นั้นเกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
“บางทีเราวางแผนไว้แล้วว่าจะวาดอะไร ใช้สีอะไร แต่พอถึงเวลาทำจริง อารมณ์ตอนนั้นมันเปลี่ยน วิธีวาดก็เปลี่ยน สี หรือเส้นที่ใช้ก็เปลี่ยนตามไปด้วย การให้อิสระกับตัวเองจึงทำให้เราได้เจอสิ่งใหม่ ๆ ในงานทุกครั้ง”
บอล มองว่า เขาสามารถนำอาการทางจิตของตัวเองมาเป็นข้อได้เปรียบในการค้นพบเทคนิคในการวาด เช่น การที่มีเสียงเด็กที่ชื่อน้ำขิงในหัว ทำให้สีในชิ้นงานของเขาต่างไปจากเดิม
“ความสนุกของการทำงานแบบนี้คือ บางครั้งในเดือนนั้นเรามีอาการไบโพลาร์ งานก็จะเป็นแบบหนึ่ง หรือหากเราเกิดความสับสนทางบุคลิกภาพ งานมันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แม้กระทั่งบางครั้งเราเจ็บป่วยจากย้ำคิดย้ำทำ งานก็จะแตกต่างกัน ดังนั้น มันจะมีน้ำหนัก และเทคนิคที่แตกต่างกันตามแต่ละช่วงเวลา”
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า อาการเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อไม่รุนแรงเกินไป เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาสามารถดึงมาใช้ในงานได้ หากเสียงในหัวเริ่มปะทะกันวุ่นวายเกินไปก็จำเป็นต้องหยุดทำงาน และกลับมาโฟกัสกับตัวเองก่อน

ความเชื่อมโยงของการเป็นเด็ก และเป็นผู้ป่วยจิตเวช
ในปีนี้บอลกลับมาอีกครั้งกับนิทรรศการเดี่ยว ซึ่งจัดขึ้นโดย MindBloom ร่วมกับ Studio Persona ภายใต้ชื่อ ‘The Kids’ โดยมีแนวคิดตั้งต้นจากมุมมองที่ว่า ผู้ป่วยทางจิตเวชมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายคลึงกับเด็ก
“ตอนที่เรารักษาตัวในวอร์ดจิตเวชจะมี ‘วิธีการ’ บางอย่าง ที่ทำให้เรานึกเชื่อมโยงไปถึงความเป็นเด็ก ทั้งการกินข้าวที่ยืนต่อแถวกัน การยกมือโหวตเลือกหนัง รวมถึงภาพจำของอาคารที่มีแต่ความโค้งมนคล้ายสนามเด็กเล่น ซึ่งเรามองว่ามันเป็นความน่ารักของผู้ป่วย”
บอล เสริมเหตุผลว่า การเป็นผู้ป่วยนั้นเหมือนอยู่ในห้องเรียนตลอดเวลา พวกเขาต้องพยายามเรียนรู้ตัวเองอยู่เสมอ ดังนั้น งานบางชิ้นของนิทรรศการจึงเต็มไปด้วยสัญญะ (sign) เช่น ลูกโป่ง สื่อว่า ขณะที่พวกเขาเรียนรู้ตัวเอง ก็ไม่รู้ได้ว่าลูกโป่งในใจจะแตกหรือไม่

ความเชื่อที่ไม่ได้แพ้พ่ายต่ออุปสรรค
ท่ามกลางความยึดมั่นในการเป็นศิลปินของบอล แน่นอนว่าต้องมีอุปสรรคเข้ามาเหนี่ยวรั้งความเชื่อของเขา ซึ่งบอลแบ่งความท้าทายออกเป็นสองประเด็น
“หลายคนอาจมองว่าศิลปะเกิดจากอารมณ์ ต้องมีอารมณ์ก่อนถึงจะสร้างงานได้ แต่สำหรับเรา มันคือ ‘หน้าที่’ ที่ต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองอย่างมาก เราใช้ความเจ็บป่วยของตัวเองมาใส่ในงาน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แบบไหน เราก็ต้องดึงมันมาใช้ให้ได้”
นอกจากนี้ อีกหนึ่งความท้าทายคือเรื่องพื้นที่ในการจัดแสดงงาน บอลมองว่า ยังมีที่ที่มีบริบทสอดคล้องกับงานลักษณะนี้อยู่ค่อนข้างน้อย ทำให้บางครั้งการนำผลงานไปจัดแสดงในพื้นที่ที่ไม่สอดคล้องกับงาน อาจทำให้งานไม่ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ จนบางครั้งก็อาจมีบางชิ้นที่ไม่ถูกสนใจ
แม้สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกับกำลังใจของเขาจนบางครั้งเกิดการตั้งคำถามในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แต่นี่เป็นเพียงความท้าทายที่เข้ามาสั่นคลอนจิตใจ ทว่าไม่ได้ทำลายความเชื่อในการสร้างสรรค์ผลงานของเขา ซึ่งสิ่งนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามผ่านสภาวะที่ย่ำแย่ภายในจิตใจได้ หากเราเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง สิ่งนั้นจะเป็นตัวกระตุ้นให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ดังเช่นที่เขาเชื่อในการทำงานศิลปะของตัวเอง
บอลฝากถึงเหล่า ‘เพื่อน’ ที่กำลังเผชิญสภาวะทางจิตใจว่า
“จงยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่าซ้ำเติมตัวเอง และขอให้เชื่อมั่นว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว อย่างน้อยให้งานของผมได้เป็นเพื่อนคุณ แค่เพียงมันต่อเวลาให้คุณอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย แค่วินาทีเดียว มันก็อาจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ ซึ่งเท่านั้นก็ถือว่างานของเราสำเร็จแล้ว”

เรื่อง : ธันยชนก แสงบรรจง
ภาพ : ศุภสัณห์ กันณรงค์












