ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมฯ จัดนิทรรศการ Let hER Smile รอยยิ้ม ความหวัง พลังใจ
ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านม แห่งประเทศไทย, อาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์ บาย ไอรีล, คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และบริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมจัดงานรณรงค์เผยแพร่ความรู้ผ่านนิทรรศการ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Let hER Smile “รอยยิ้ม ความหวัง พลังใจ ก้าวต่อไปของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจในโรคมะเร็งเต้านม ให้กับผู้ป่วยและสังคม ให้มีทัศนคติเชิงบวก ต่อการรักษาโรคมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะในระยะแพร่กระจาย ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ สำหรับนิทรรศการฯ นี้ จัดขึ้นที่เดอะริเวอร์ซิตี้ สี่พระยา กรุงเทพฯ โดยรองศาสตราจารย์นายแพทย์เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติแสดงปาฐกถาพิเศษภายในงาน
น.ส.ไอรีล ไตรสารศรี รองประธาน ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย และผู้ก่อตั้งอาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์ บายไอรีล กล่าวว่า “Let hER Smile เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มุ่งสร้างรอยยิ้ม ความหวัง พลังใจให้เพื่อนๆ ผู้ป่วย และผู้เข้าชมมองเห็นโอกาส และแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ให้พร้อมก้าวไปข้างหน้าด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยการเปิดมุมมองในการรักษามะเร็งเต้านมให้กับผู้ป่วย ผู้ดูแล และคนในสังคม ให้เห็นโอกาสและมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับการรักษา ผ่านสื่อศิลปะสร้างสรรค์ สร้างความเข้าใจในนวัตกรรมการรักษาใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตตลอดช่วงอายุ ภายใต้การรักษาโรคให้ผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี”
“ซึ่งปัจจุบันเราพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมไทย ยังขาดการเข้าถึงองค์ความรู้ และแนวทางการรักษาและดูแลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้ผู้ป่วย มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย และอาร์ต ฟอร์ แคนเซอร์ บาย ไอรีล จึงร่วมกันแปลคู่มือ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมฉบับภาษาไทย โดยคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในช่วงต้นปี 2567”
ขณะที่ เภสัชกรหญิงสุมาลี คริสธานินทร์ ประธานบริหาร บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อัตราการเกิดโรคมะเร็งเต้านมที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าเราต้องร่วมมือกันสร้างความตระหนัก ส่งต่อความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมให้มากขึ้น บริษัท โนวาร์ตีส ให้ความสำคัญกับความคิดเห็น และความต้องการของผู้ป่วย เรามุ่งมั่นทำงานร่วมกับกลุ่มผู้ป่วยและผู้ดูแล เพื่อร่วมกันเติมเต็มช่องว่าง บนเส้นทางการรักษาโรค การจัดงานนิทรรศการโรคมะเร็งเต้านม Let hER Smile เป็นการถ่ายทอดความรู้เชิงวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบนิทรรศการศิลปะ โดยมีจุดมุ่งหมายคือการสร้างแรงบันดาลใจ ให้ความรู้ และทำให้เส้นทางการรักษาโรคมะเร็งเต้านม ระยะแพร่กระจายเต็มไปด้วยความหวังและรอยยิ้ม”
สำหรับไฮไลต์ภายในนิทรรศการนี้ชูพลัง การสร้างสรรค์งานศิลปะ ในแบบ Immersive Digital Art ผลงานศิลปะที่สะท้อนการเดินทาง ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จากจุดเริ่มต้นที่ตกอยู่ในสภาพที่มืดมน กลัว กังวล และท้อแท้ เมื่อพบว่าตนเองเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะในระยะแพร่กระจาย ซึ่งด้วยการสื่อสารด้านสุขภาพที่ก่อให้เกิดการตระหนัก ถึงความก้าวหน้าในการรักษา นำไปสู่ทางเลือกและประตูแห่งความเป็นไปได้ โดยมีผลงานศิลปะจากฝีมือผู้ป่วยมะเร็งเต้านม บอกเล่าแรงบันดาลใจในชีวิตผ่านงานศิลปะนามธรรม “Smile and Hope” ที่จะทำให้ผู้เยี่ยมชมได้รู้สึกเหมือนตนเอง ได้เป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน ได้มีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับผลงานที่ต่างจากกรอบเดิมๆ
รวมถึงโซนให้ความรู้ในแบบ Interactive ร่วมด้วยการประกาศเจตนารมณ์ ความร่วมมือทางวิชาการในการร่วมกันแปลคู่มือ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จากต้นฉบับของสมาคมมะเร็งวิทยาแห่งสหภาพยุโรปให้เป็นภาษาไทย การเผยแพร่ความรู้ผ่านการเสวนา โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนผู้ป่วย กิจกรรมแนะนำการตรวจเต้านมด้วยตนเอง การเย็บเต้านมเทียม เพื่อสร้างความเข้าใจในโรคมะเร็งเต้านม ระยะแพร่กระจายที่ถูกต้อง และร่วมส่งกำลังใจให้กับผู้ป่วย บนเส้นทางการรักษาที่มีรอยยิ้ม ความหวัง และกำลังใจจากคนรอบข้าง
ผศ. พญ.เอื้อมแข สุขประเสริฐ อุปนายกมะเร็งวิทยาสมาคม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งเต้านม กล่าวว่า “มะเร็งเต้านมระยะลุกลามแพร่กระจาย สามารถแบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่ 1.มะเร็งชนิดติดตัวรับทางฮอร์โมน (ER Positive Tumor) ซึ่งมีการพยากรณ์โรคดีที่สุด 2.มะเร็งชนิด HER2 Positive มีการแสดงออกของยีนก่อมะเร็ง HER2 เป็นมะเร็งเต้านมชนิดที่การพยากรณ์โรคดีเป็นอันดับสอง และ 3.มะเร็งชนิด Triple Negative ที่ไม่ติดตัวรับใดๆ เลย เป็นชนิดที่การพยากรณ์โรคแย่ที่สุด ต้องใช้ยาเคมีบำบัดในการรักษา
“เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม ผู้ป่วยควรสอบถามแพทย์ผู้ดูแลถึงชนิด และระยะของโรค แนวทาง การรักษาที่เหมาะสม และซักถามในข้อสงสัยต่างๆ ก่อนเริ่มต้นการรักษา สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษามะเร็งเต้านม ในระยะแพร่กระจาย อยู่ที่แพทย์และผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจจุดประสงค์ในการรักษาร่วมกัน แม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ด้วยนวัตกรรมการรักษาที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผู้ป่วยมีทางเลือกในการรักษา ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมโรคได้นานขึ้น คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยก็จะดีขึ้นตามไปด้วย”
ผศ. พญ.เอื้อมแข อธิบายว่า “การรักษาบางชนิดมีผลข้างเคียงน้อย ซึ่งต่างจากเคมีบำบัดที่มีผลข้างเคียงมาก เช่น ในมะเร็งชนิดติดตัวรับทางฮอร์โมน มีการใช้ยาต้านฮอร์โมน ควบคู่กับยาพุ่งเป้าที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็ง เมื่อใช้คู่กันทำให้ควบคุมโรคได้นานเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และแม้จะผ่านการรักษา ด้วยยาต้านฮอร์โมนแล้ว ยังสามารถใช้ยาเคมีบำบัดควบคุมโรคได้ ซึ่งการเข้าถึงการรักษาแบบใหม่ๆ จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีอายุยืนยาวได้อย่างน้อย 4-5 ปี”
นอกจากนวัตกรรมการรักษา ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการรักษา มะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายที่ผู้ป่วยควรรู้ ประกอบด้วย
1.ชนิดของมะเร็ง ว่ามีการพยากรณ์โรคเป็นอย่างไร
2.ลักษณะของผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรง สามารถรับการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง การรักษาก็จะได้ผลดี โดยอายุไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ เท่าความแข็งแรงของร่างกาย แต่ในผู้ป่วยที่มีอายุมากจำเป็นต้องระวังโรคประจำตัวอื่นๆ ที่ทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้น เพราะอาจไม่สามารถให้ยาบางชนิดได้ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
3.การเข้าถึงการรักษาและยานวัตกรรม หากผู้ป่วยได้รับยาที่เหมาะกับโรคอย่างเต็มที่ ก็จะสามารถควบคุมโรคได้ดีมากยิ่งขึ้น และมีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้น หากพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย ก็ไม่อยากให้ถอดใจหรือท้อแท้ เพราะในทุกระยะของการรักษาผู้ป่วย ยังคงมีความหวัง
ด้าน ศ. ดร. นพ. พรชัย โอเจริญรัตน์ ศัลยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งเต้านม และไทรอยด์ โรงพยาบาลเจ้าพระยา กล่าวว่า “ปัจจุบันเรามีวิวัฒนาการของยา และการรักษาใหม่ๆ เช่น ยามุ่งเป้า ยาภูมิคุ้มกันบำบัด ยาฮอร์โมนบำบัด เคมีบำบัด ซึ่งมีหลายสูตรและได้ผลดีในการรักษา นวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยยืดระยะเวลา การมีชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้ป่วย แม้มะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจายจะมีโอกาสหาย โดยไม่มีมะเร็งหลงเหลืออยู่ในร่างกายเพียง 4% แต่จากสถิติผู้ป่วยในระยะนี้ มีสัดส่วนถึง 20% ที่สามารถมีอายุยืนยาวได้ถึง 10 ปี หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องครบถ้วน การตัดสินใจไม่รักษาหรือเลือกรักษา ด้วยแพทย์ทางเลือกอื่นๆ อาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการรักษา เมื่อกลับมารักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันในภายหลัง ก็อาจเป็นระยะที่มะเร็งลุกลามและแพร่กระจายออกไปกว่าเดิม ซึ่งจะลดโอกาสในการยืดระยะเวลา การมีชีวิตอย่างมีคุณภาพ













