‘ธารา’ มอง MOU-แร่หายาก สหรัฐฯ ปลุกกระแส ‘ยุคตื่นแร่แรร์เอิร์ธ แนะรัฐมองเชื่อมโยงปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก
‘ธารา’ มอง MOU-แร่หายาก สหรัฐฯ ปลุกกระแส ‘ยุคตื่นแร่แรร์เอิร์ธ แนะรัฐมองเชื่อมโยงปัญหาสารพิษในแม่น้ำกก จากเหมืองวิสาหกิจจีนในรัฐฉาน และหาข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของห่วงโซ่อุปทานบนฐานที่คำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 นายธารา บัวคำศรี นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงกรณีที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เซ็น MOU ร่วมกับสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับแร่หายาก ว่า ในประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย ซึ่งมาจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ล่าสุดมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียมแม่น้ำกกตอนบน พบว่าเหมืองขยายตัวเพิ่มขึ้น แสดงว่าปัญหาที่เรากังวลกันไม่ได้ลดลงเลยสิ่งที่มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ เปิดเผยคือมีบริษัทจีนไปเป็นเจ้าของเหมืองแร่นั่นด้วย และแทนที่ปัญหาจะลดลงตอนนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น
“ส่วนเนื้อหาใน MOU นั้น มีคำว่า Critical mineral หมายถึงแร่ที่มีความสำคัญมาก ตั้งแต่ลงนามจะไปโฟกัสแค่แร่หายาก ทั้งหมดมี 17 ตัว ดังนั้น MOU ของนายโดนัล ทรัมป์ จะไม่เฉพาะแค่แรร์เอิร์ธ แต่รวมถึงอื่น ๆ ด้วย โดยเราแทบไม่ต้องเดาเลยว่าเหมืองในเมียนมาเจ้าของอย่างไรก็ต้องเป็นจีน เป็นอย่างอื่นไม่ได้ และยังไงแร่ก็ส่งไปที่จีนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่มีการขยายตัวของเหมืองแร่หายากมาที่รัฐฉาน ตามที่มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่เขาได้ตามมาตลอดมันก็ไม่สามารถที่จะเดาออกไปทางอื่นได้นอกจากว่าความเชื่อมโยงกับห่วงโซ่ประทานแร่หายากของจีน ซึ่งผลมันก็ออกมาอย่างที่เราเห็น
-ทรัมป์ต้องการปลุกกระแส “ยุคตื่นแร่แรร์เอิร์ธ”
นายธารา กล่าวว่า สิ่งที่ตนคิดว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ทำ MOU แร่หายาก ที่กัวลาลัมเปอร์ น่าสนใจตรงที่ว่าหลังจากที่ดูข้อมูลเราไม่สามารถที่จะวิเคราะห์ MOU แยกออกจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นในรัฐฉานหรือว่าในประเทศไทยได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องของมลพิษในน้ำกก สาย รวก โขงได้ เพราะจริงๆเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ว่า MOU ที่มีขึ้นเหมือนกับไปสร้างความประหลาดใจ ให้กับหลายๆ คนที่ติดตามเรื่องนี้ กลายเป็นไวรัลว่าแร่หายากคืออะไรมันมาจากไหนยังไง ซึ่งตนคิดว่าเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ
“ผมมองในมุมโดนัลด์ ทรัมป์ เขามาเอเชียด้วยความหมกมุ่นบางอย่างก็คือเรื่องที่เขาต้องการจะมาเปิดพื้นที่มาขยายอิทธิพลที่เคยมีอยู่เดิม อำนาจที่มีอยู่เดิมในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยใช้แร่หายากเป็นตัวเปิด แล้วพอมาถึงเขาเซ็น MOU กับไทยแล้วก็กับมาเลเซียด้วย แล้วพอไปญี่ปุ่นก็ไปเซ็นกับญี่ปุ่นด้วย ซึ่งผมก็เลยวิเคราะห์ว่า จริง ๆ แล้วมันอาจจะเรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ของทรัมป์ ยุคก่อนมันมีเรื่องตื่นทอง อันนี้ก็คือการตื่นแร่หายาก ตื่นแรร์เอิร์ธ ที่กระตุ้นโดย MOU ของสหรัฐอเมริกา”
นายธารา กล่าวย้ำว่า สิ่งที่น่าสนใจใน MOU เท่าที่ดูคือจะมีความร่วมมือทางการลงทุน ทางการค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูล อาจจะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาสร้างขีดความสามารถ สี้างศักยภาพอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันไม่มีรายละเอียดมากไปกว่านั้น นอกจากเลือกว่าเราจะต้องทำเรื่องนี้กัน ตามกฎหมาย MOU ซึ่งถือว่ามีผลบังคับใช้ในทางกฎหมายอยู่แล้ว แต่ว่ามันกลายเป็นเรื่องที่เป็นพลุขึ้นมาของคำว่าแรร์เอิร์ท ซึ่งตนคิดว่า MOU อาจจะเป็นแค่ตัวจุดประกายทำให้เกิดการตื่นแร่แรร์เอิร์ทในทางการรับรู้เพิ่มขึ้น
“ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาประเทศในภูมิภาคอาเซียน ถ้าเราดูหลายประเทศ อินโดนีเซียเป็นคนที่ผลิตนิกเกิ้ลเป็นอันดับหนึ่งของโลก ฟิลิปปินส์ก็อาจจะอยู่อันดับรองๆ ลงไป เมียนมาก็เป็นอันดับสี่ของแหล่งสำรองแร่หายาก แล้วก็ในเวียดนามก็มีพอสมควร หลาย ๆ ประเทศในทวีปเอเชียก็มีการทำเหมืองแร่มาเยอะ ผมก็เลยวิเคราะห์ต่อไปว่านอกจาก MOU ของทรัมป์จะทำให้เกิดการตื่นแร่หายากแล้ว มันทำให้เกิดปรากฏการณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมันไปตอกย้ำกิจการเหมืองแร่ของภูมิภาคนี้ว่ายังไม่ได้ถูกกำกับดูแลที่เพียงพอ เพราะว่าเราก็เห็นอยู่ว่าเหมืองแร่ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในไทย ในลาว ในประเทศเพื่อนบ้านในมาเลเซีย ในอินโดนีเซียมีเมืองที่ใหญ่มากแล้วก็ทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเลค่อนข้างรุนแรงมาก และมันก็มีผลกระทบเกิดขึ้น”
-อย่ามองข้ามผลกระทบมลพิษในภูมิภาค
นายธารา เปิดเผยว่าที่สำคัญก็คือจากข้อมูลของ UN คือตนไม่แน่ใจว่ารัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของมาเลเซียเขาพูดไว้น่าจะ 2-3 ปีก่อนบอกว่าแร่หายาก ซึ่งมาเลเซียแปรรูป นำเข้ามาจากออสเตรเลียประมาณ 80% เป็นการลักลอบค้าขายแบบผิดกฎหมายในความหมายนี้ MOU ของทรัมป์ นอกจากทำให้เกิดการตื่นแร่ ก็ทำให้ไปตอกย้ำสิ่งที่มันเป็นปัญหาอยู่ในภูมิภาคนี้ในเรื่องของการกำกับดูแลภาคเหมืองแร่ของประเทศต่างๆ ไทยเราก็อาจจะมีปัญหานั้นด้วย
เมื่อถามว่าแรร์เอิร์ธสำคัญอย่างไร ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงต้องการมากขนาดนี้ นายธารา กล่าวว่า ชีวิตยุคใหม่ของมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของโลก ถ้าเราเข้าถึงปัจจัย 4 ขั้นพื้นฐานแล้วเราก็ต้องปัจจัยที่ 5 อาจจะเป็นเรื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ถ้ามากกว่านั้นคนที่มีฐานะหน่อยก็ใช้รถยนต์ไฟฟ้าต่าง ๆ การสื่อสารโทรคมนาคมมันไม่สามารถที่เคลื่อนไปได้ถ้าปราศจากแร่แรร์เอิร์ธ

“เรียกว่าทุกคนก็หันมาสนใจ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ จีนเป็นคนที่ยึดตลาดแร่แรร์เอิร์ทของโลก ทั้งในประเทศจีนเองแล้วก็นำเอามาจากเมียนมาหรือเอามาจากประเทศอื่น ๆ แล้วก็เอาไปแปรรูปเอาไปสกัด แปรรูปเอาไปทำให้มันเป็นโลหะชนิดต่าง ๆ 17 ชนิดของแรร์เอิร์ทแล้วก็ส่งไปสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จีนอาจจะเรียกว่าเป็นผู้ถือครองเลย แล้วมันทําให้ผมคิดว่า เรื่องนี้ทําให้โดนัลด์ ทรัมป์ รู้สึกยอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ในเรื่องนี้ เพราะว่าเขาพยายามจะใช้ภาษีทางการค้ามาบีบจีน รวมทั้งกลไกของ WTO ในอดีตที่ผ่านมา แต่จีนเขาไม่ค่อยได้กระโตกกระตาก ไม่มี MOU แต่มาแบบเงียบ ๆ”
นายธารา ยังกล่าวด้วยว่า แม้แรร์เอิร์ธจะเอาไปใช้เป็นพลังงานสะอาดก็ตามแต่เท่าที่เราเห็นบทเรียนในคะฉิ่นหรือรัฐฉาน มีบทเรียนจากการทำแรร์เอิร์ธให้เราเห็นอย่างไรแล้วบ้าง ทำให้เราต้องตระหนักถึงเรื่องของปัญหามลพิษที่มันจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ทำให้มันดี
“ความท้าทายของห่วงโซ่ประทานแรร์เอิร์ธ ที่จีนครอบงำอยู่ อันหนึ่งก็คือที่ผ่านมาจีนก็ทำสิ่งแวดล้อมแล้วก็ชุมชนหลาย ๆ พื้นที่ในจีนเสียหายไปเยอะ ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาตั้งแต่จีนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นมหาอำนาจของโลกได้จากการที่ครอบครองแรร์เอิร์ธ เขาก็ทำแม่น้ำหลายสายในจีนปนเปื้อนไปด้วยสารพิษแล้วก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟู ตอนนี้ก็ยังต้องฟื้นฟูกันอยู่ ต้องใช้งบประมาณอยู่ จีนก็พยายามปราบแก๊งสแกมเมอร์ทางด้านแรร์เอิร์ธพวกลักลอบขนส่งผิดกฎหมาย หรือทำเหมืองผิดกฎหมายแล้วก็เอาแร่ที่แปรรูป เอาแร่ที่สกัดแล้วส่งเข้าบริษัทใหญ่”
นายธารา กล่าวด้วยว่า จีนก็พยายามปราบเรื่องนี้ เพราะจะมีการลักลอบขนส่งแร่เอิร์ธข้ามพรมแดนจากเวียดนาม หรือจากมณฑลหนึ่งไปอีกมณฑลหนึ่งในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา จีนก็ทำการรวบตึงให้บริษัท หรือบริษัทเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในจีนจากเดิมเป็นร้อย ๆ บริษัทให้เหลือประมาณ 20 กว่าบริษัท แล้วรัฐบาลกลางเข้าไปควบคุม พอจีนถูกแรงกดดันจากประชาคมโลกในเรื่องของการที่ถ้าในเชิงการค้าจีนก็ได้เปรียบ ทาง WTO ก็บอกว่าจีนได้เปรียบ เพราะฉะนั้นจะต้องตัดสิทธิพิเศษทางการค้าอะไรต่าง ๆนานา จีนก็พยายามที่จะทำความสะอาดห่วงโซ่ประทานแร่แรร์เอิร์ตในบ้านตัวเอง มีระบบตรวจสอบย้อนกลับซึ่งยกระดับมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งจีนบอกว่าแร่หายากของตัวเองที่แปรรูปแล้วแล้วก็ส่งออกไปตามห่วงโซ่ประทานสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ซึ่งใช้เวลานานมากเป็น 20-30 ปี”
-ต้องไม่ลืมปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเชื่อมโยงกับเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐฉาน และการลงทุนของวิสาหกิจจีน
นายธารา กล่าวย้ำว่า หลายคนตั้งคำถามว่า เมื่อมี MOU-แรร์เอิร์ธแล้ว จะมีการทำเหมืองแร่ หรือไปสนใจว่าประเทศไทยมีแร่หายากไหม แต่ในขณะที่คำถามที่ไปถึงเรื่องมลพิษใน จ.เชียงราย ในลุ่มน้ำกก รวก สาย โขง มีน้อยมาก ซึ่งมันทำให้เห็นว่าความสนใจของคนส่วนใหญ่จะไปโฟกัสที่เรื่องการลงทุนบ้าง และโอกาสอะไรต่าง ๆ บ้าง แต่มันไม่สามารถไปถึงความเชื่อมโยงระหว่างจีน เหมืองแร่ในรัฐฉานมาถึง MOU ของโดนัลด์ ทรัมป์ไปเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเกี่ยวกัน
เมื่อถามว่ารัฐบาลควรต้องทำอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือว่าควรต้องศึกษาให้ดีก่อนในเรื่องไหนบ้าง นายธารา เห็นว่า จากสาระสำคัญใน MOU-แรร์เอิร์ธ ตนคิดว่าการลงทุนการค้ากับอเมริกาก็คงมีต่อจากนี้ แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลใหม่ แต่ MOU นี้มันก็อาจจะมีผลในเชิงของความร่วมมือที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แม้ว่า MOU มันจะไม่มีผลแล้ว แต่ว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นก็ยังต้องทำต่อไป เพราะว่าข้อสุดท้ายของ MOU บอกชัดเจนว่าแม้ MOU มันจะไม่มี หรือว่ายกเลิกไปแล้วความสัมพันธ์ทางการค้าหรือการลงทุนของสหรัฐอเมริกากับไทยก็ยังสามารถต่อไปได้
“แต่ประเด็นสำคัญคือเราไม่รู้ว่าสหรัฐจะมองไทยอย่างไร เป็นคู่ค้าการลงทุนจะเข้ามาเก็บข้อมูล สำรวจข้อมูล หรือแม้กระทั่งมาลงทุนทำเหมือง ผมเข้าใจว่ากรมเหมืองแร่เคยให้สัมภาษณ์ว่าการลงทุนเหมืองแรร์เอิร์ธในประเทศไทยอาจจะไม่คุ้มเพราะว่าต้องดูเรื่องสิ่งแวดล้อม ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วโยงกับเรื่องกฎหมายแร่ของประเทศไทยด้วยต้องทำ EHIA ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย กว่าจะได้เหมืองแรร์เอิร์ธมาก็อาจจะสายเกินไป”
นายธารา จึงย้ำว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรจะจับตาดูใน MOU ฉบับนี้ก็คือว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะมีการลงทุนของสหรัฐในเรื่องของเทคโนโลยีหรือโรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธที่นำเข้ามาจากประเทศอื่น ๆ หรืออาจจะเป็นแค่ช่องทางของสหรัฐฯในการที่จะช่วงชิงห่วงโซ่อุปทานที่จีนครอบงำอยู่ ข้อมูลที่มันยืนยันได้ก็คือแรร์เอิร์ธที่อยู่ในรัฐฉานไม่ว่าจะอยู่ที่คะฉิ่นถูกส่งไปที่จีนหมด สหรัฐอเมริกาเคยเข้าไปเนปิดอว์เจรจาว่าอาจจะดึงขอส่วนแบ่งซึ่งมันทำไม่ได้ เพราะว่ารัฐบาลทหารพม่าก็ยังมีความขัดแย้งต่าง ๆ ความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นสหรัฐฯอาจจะใช้ไทยเป็นช่องทางเสร็จแล้วก็ดึงเอาแรร์เอิร์ธผ่านมาทางไทย แล้วก็อาจจะไปที่ไหนซักที่หนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกา
“แต่ผมก็ว่ามันยากมาก เพราะว่ามูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ก็บอกแล้วว่าจีนเป็นเจ้าของเหมืองในพม่า ความยากของมันก็คือ แล้วตกลงมันจะยังไงต่อ เพราะว่าแรร์เอิร์ธในประเทศไทยก็จะอยู่ ตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่มาทางภาคตะวันตกลงไปจนถึงภาคใต้ตอนบน แล้วในทะเลอาจจะมีบ้าง ซึ่งถ้าจะลงทุนแล้วใครจะมาลงทุน จะต้องทำยังไง ที่เราจะต้องจับตาดูจาก MOU ฉบับนี้ก็คือสหรัฐจะมาทำอะไรต่อจากนี้ ตกลงมันจะเป็นการที่จะเปิดพื้นที่ให้กับการเรียกว่าส่วนแบ่งจากห่วงโซ่ประทานของแร่เอิร์ธที่จีนครอบงำอยู่มาเป็นของสหรัฐณไหม ซึ่งที่ผมตามดูสายห่วงโซ่ประทานที่จีนครอบงำอยู่แทบจะเข็นครกขึ้นภูเขา”
นายธารา ระบุว่ามีข้อมูลหนึ่งคือบริษัทจีนที่รัฐบาลกลางจีนรวบตึงให้เหลือประมาณ 20 บริษัท เวลาเขาส่งแร่หายากออกไปจาก 20 บริษัท มันไปที่ยุโรปประมาณแสนบริษัท ไปที่อเมริกาประมาณ 5 หมื่นกว่าบริษัท ห่วงโซ่ประทานแร่หายากมันไปยึดเกาะแน่นกับการผลิตระดับโลกไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่า MOU แบบนี้มันเป็นในส่วนหนึ่ง
“คือเราต้องจับตาดู แต่อีกส่วนหนึ่งผมคิดว่ามันเป็นของเล่นของทรัมป์ อันนี้พูดแบบหยาบ ๆ เพราะว่าทรัมป์เป็นคนที่หมกมุ่นกับเรื่องนี้ แล้วก็พยายามที่จะบอกว่าฉันอยากจะเข้ามามีส่วนในห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก“
นักวิชาการสิ่งแวดล้อม กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้าดูการทำเหมืองที่เกิดขึ้นในทั้งในจีน ในคะฉิ่น ในรัฐฉาน หรือแม้กระทั่งตอนนี้ขยายไปที่ลาว แล้วถ้าเรามาทำแบบนี้ที่ประเทศไทย ตนคิดว่าไม่มีทางเกิด แม้ว่าระบบ EHIA ของเรากฎหมายของเรามันอาจจะดูก้าวหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นก็คือการลุกฮือของชุมชนแน่นอน เพราะว่าไปเจาะภูเขาแต่ละลูกแล้ววิธีการที่จะเอาแร่หายาก มันมีไม่กี่วิธี
“เหมืองแบบเปิดก็ไม่คุ้ม หรือเหมืองใต้ดิน ผมคิดว่าก็ไม่คุ้ม มันมีวิธีเดียวก็คือใช้วิธีเจาะภูเขาแล้วก็แชะแร่ออกมาเหมือนกับเกิด













