รองผู้ว่าฯ เชียงราย ยันไม่นิ่งนอนใจแก้ปัญหาสารปนเปื้อนน้ำกก
รองผู้ว่าฯ เชียงราย ยันไม่นิ่งนอนใจแก้ปัญหาสารปนเปื้อนน้ำกก ด้าน กต.-กรมกิจการชายแดนฯ เผย ‘เมียนมา’ ยอมรับมีข้อจำกัดเหตุเหมืองแร่เป็นพื้นที่ชนกลุ่มน้อย ส่วนภาคประชาชน ย้ำจุดยืนชงตั้งศูนย์ประสานงาน-ตรวจมลพิษ
วันนี้ (8 ส.ค. 68) สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง แนวทางการจัดการปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมของแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย โดยมีนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมกิจการชายแดนทหาร กระทรวงการต่างประเทศ กรมอนามัย และกรมควบคุมโรค เข้าร่วม
โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มีข้อเสนอต่อจังหวัดเชียงรายในการแก้ปัญหาสารพิษรั่วไหลในแม่น้ำกก รวก สาย โดยอยากให้มีการแก้ไขปัญหาในสภาวะวิกฤต เนื่องจากหน่วยงานในจังหวัดทำงานแยกกันเป็นเอกเทศไม่เป็นเอกภาพ จังหวัดควรมีศูนย์ความร่วมมือหรือศูนย์ประสานงาน เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลผลการตรวจวัดมลพิษ ทำงานในลักษณะดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อสื่อสารและแจ้งเตือนข้อมูลให้กับประชาชนได้รับทราบและเตรียมรับมือ
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น การประมง การท่องเที่ยวและปัญหาสุขภาพ อยากให้จังหวัดเชียงรายสำรวจและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมถึงเฝ้าระวังทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพด้วย สิ่งสำคัญคือการจัดหาน้ำสะอาดให้ทั่วถึงและเพียงพอ ขยายพื้นที่การให้บริการครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยขอให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อบรรเทาความเสียหาย และขอให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เฝ้าระวังมลพิษด้วย อีกทั้งภาคประชาชนไม่เห็นด้วยกับการสร้างฝายดักตะกอน อยากให้มีการทบทวน เนื่องจากเป็นวิธีที่ก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก
ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าที่ผ่านมาได้เรียกร้องให้เมียนมาตรวจสอบข้อเท็จจริง หาสาเหตุแก้ปัญหาน้ำขุ่นในแม่น้ำกก โดยหยิบยกเรื่องคุณภาพน้ำมาหารือในหลายระดับ อาทิ อุปทูตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมา ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเมียนมาอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบหนังสือ และการหารือผ่านทางการทูต
นอกจากนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เมื่อเดือน พ.ค.68 ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันเดียวกันรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ได้หารือกับเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งจีนแจ้งว่าเมืองหลวงรับทราบและประสานงานให้สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำเมียนมาติดตามปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้มีการหยิบยกประเด็นมาหารือในหลายโอกาสโดยเฉพาะการหารือระดับสูง ซึ่งเมียนมามีท่าทีรับฟัง แต่มีข้อจำกัดในบริเวณรัฐฉาน ซึ่งเป็นที่อาศัยของชนกลุ่มน้อย รัฐบาลเมียนมาไม่มีอำนาจควบคุม การดำเนินการจึงเป็นสิ่งที่ท้าทาย
ส่วนการดำเนินงานในกรอบอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผลักดันเรื่องนี้ในระดับภูมิภาค ไทยเสนอให้ยกระดับความร่วมมือเพื่อพัฒนาคุณภาพน้ำ และกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำร่วมกันโดยใช้มาตรฐานสากล ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 36 ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนประเทศลาวก็ให้ความร่วมมือกับไทยในกรอบคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) เตรียมหารือร่วมกันในการจัดการมลพิษที่ต้นน้ำ ยืนยันว่ากระทรวงการต่างประเทศได้ผลักดันให้มีการพิจารณาประเด็นนี้ในหลายกรอบความร่วมมือ
ผู้แทนกรมกิจการชายแดนทหาร กล่าวว่าได้ใช้กลไกที่มีในระดับต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ เราพยายามใช้กลไกที่มีในระดับ GBC ซึ่งได้ทำหนังสือทักท้วงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ล่าสุด RBC ได้หยิบยกเรื่องนี้ไปพูดคุยแล้ว เมียนมาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ แสดงผลตรวจวัดคุณภาพน้ำ ตั้งสถานีตรวจวัดในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย แต่ค่ามาตรฐานของไทยกับกัมพูชาไม่ตรงกัน จึงต้องตั้งทีมงานร่วมกันเพื่อให้ผลสำรวจตรงกัน โดยระยะต่อไปในวันที่ 29 ส.ค.นี้ที่จะมีการประชุม GBC ที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ซึ่งจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับสารปนเปื้อนแม่น้ำกกด้วย
ผู้แทนสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวว่าเมื่อเราทราบเรื่องสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก ได้เริ่มประสานงานกับจีนและเมียนมาในต้นเดือน พ.ค. ผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ซึ่งไม่รับพิจารณาเรื่องนี้ จึงได้รายงานต่อกระทรวงการต่างประเทศว่าจะต้องมีการใช้กรอบความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนเมียนมาได้ประสานผ่านกลไก MRC เพื่อจะให้มีการตรวจวัดคุณภาพน้ำร่วมกันระหว่างไทย เมียนมา และลาว ซึ่งรอผลตอบรับจากเมียนมาภายในวันที่ 12 ส.ค.นี้
ท่าทีในการเจรจาของเมียนมาไม่ได้มีความขัดแย้ง เมียนมายินดีที่จะเจรจาเรื่องนี้ โดยดำเนินการตรวจวัดคุณภาพน้ำในเมียนมา สาเหตุที่คุณภาพน้ำระหว่างไทยและเมียนมาวัดได้ไม่เท่ากัน เป็นเพราะเมียนมาใช้ค่ามาตรฐานต่างจากไทย ส่วนประเด็นฝายดักตะกอนนั้น ยังอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นยังไม่ได้อนุมัติให้ก่อสร้าง
ขณะที่กรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่าหากดูข้อมูลย้อนหลังแหล่งน้ำในไทย 96% โลหะหนักไม่เคยเกินค่ามาตรฐาน ในแม่น้ำกกก็ไม่เคยพบโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน โดยปี 66-67 พบโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานเพียงปีละครั้งเท่านั้น ซึ่งกรมควบคุมมลพิษได้ตรวจคุณภาพน้ำ 4 ครั้งต่อปี แต่ในปี 68 ช่วงครึ่งปีแรกพบค่าโลหะหนักสูงเกินค่ามาตรฐาน ส่วนการใช้งบประมาณแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกยังไม่มีหน่วยงานใดที่ได้รับอนุมัติงบประมาณให้แก้ปัญหานี้ แต่ละหน่วยงานได้ใช้งบประมาณของตนเองในการดำเนินงาน
ผู้แทนจากกรมอนามัย ระบุว่าได้บูรณาการกับภาคีเครือข่าย มีมาตรการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม เก็บน้ำประปาหมู่บ้าน ตัวอย่างพืชผักและปลา โดยน้ำอุปโภคบริโภคยังไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานสามารถดื่มได้ ส่วนพืชผักและปลาก็ยังไม่พบสารหนูเกินค่ามาตรฐาน โดยมาตรฐานสุขภาพได้มีการคัดกรองสุขภาพเชิงรุก พบประชาชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงระดับปานกลางและเสี่ยงสูงคือ กลุ่มที่สัมผัสกับน้ำกก น้ำสายโดยตรง หรือมีอาชีพที่สัมผัสน้ำ เช่น กลุ่มชาวประมง โดยได้มีการตรวจปัสสาวะ อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูล นอกจากนี้ยังมีการสุ่มตรวจประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงด้วย
ตัวแทนกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากการตรวจคัดกรองเพื่อประเมินความเสี่ยงประชาชนในครึ่งปีที่ผ่านมา จำนวน 2,056 คน พบกลุ่มที่มีโอกาสสัมผัสสารหนูสูงและปานกลาง จำนวน 305 คนดำเนินการเก็บปัสสาวะประชาชนในจังหวัดเชียงราย 326 คนเพื่อส่งวิเคราะห์ total As และ Creatinine ซึ่งหากพบว่ามีค่าเกินมาตรฐานก็จะต้องทำการคัดกรองว่าเป็นสารหนูที่มีพิษหรือไม่ หากพบว่าสารหนูเกินค่ามาตรฐานจะมีการส่งตรวจร่างกายโดยแพทย์ รวมถึงติดตามผล เพื่อวางแผนเฝ้าระวังในระยะยาว
นายประสงค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก โดยร่วมมือกับทุกภาคส่วนและรายงานให้ประชาชนได้ทราบอยู่ตลอดเวลา ตนเองได้มีการเจอผู้ว่าราชการจังหวัดท่าขี้เหล็กมาแล้ว 2 ครั้ง โดยฝ่ายไทยขอให้มีการเฝ้าระวังปัญหานี้ การประชุมกับเมียนมาทุกเวที เราจะหยิบยกปัญหาเรื่องสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกมาพูดคุยตลอด อย่างไรก็ตามตนเองจะนำผลหารือในวันนี้ โดยเฉพาะการตั้งศูนย์ประสานความร่วมมือไปแจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ส่วนตัวพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน
ในช่วงท้ายผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ได้สะท้อนปัญหา โดยระบุว่าปัจจุบันมีผู้ต้องขัง 4,000 กว่าคน และใช้น้ำบาดาลทั้งหมด หลังตรวจพบการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำตั้งแต่เดือน มี.ค.68 เรือนจำได้แก้ปัญหาในการซื้อน้ำจากการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย สัปดาห์ละ 3 วันสำหรับบริโภค ส่วนน้ำที่ใช้อุปโภคยังอยู่ในระดับปกติไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึงได้สุ่มตรวจเลือดผู้ต้องขังในระยะ 3 ปี 5 ปี 10 ปี ผลออกมาทุกคนปกติ
ล่าสุดเรือนจำได้รับงบประมาณ 400,000 กว่าบาท จัดซื้อเครื่องผลิตน้ำ ซึ่งหากติดตั้งแล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะผลิตน้ำได้วันละ 8,000 ลิตร จากนั้นก็จะงดรับซื้อน้ำจากการประปาส่วนภูมิภาค












