DEEPSOUTH

ไทย-มาเลเซีย ปิดท่าข้ามผ่อนปรนแล้วกว่า 7 เดือน บังคับใช้กฎหมายเข้า-ออกประเทศเข้ม

ไทย-มาเลเซีย ปิดท่าข้ามผ่อนปรนแล้วกว่า 7 เดือน บังคับใช้กฎหมายเข้า-ออกประเทศเข้ม จากผลพวงสกัดกั้นยาเสพติด กระทบประชาชน-ผู้ประกอบการในพื้นที่ เศรษฐกิจฐานรากเริ่มทรุดหนัก

วันนี้ (2 ส.ค. 68) นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส และรองหัวหน้าพรรคกล้าธรรม กล่าวถึงการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ หลังจากที่ พล.ต.ท.ดาโต๊ะมูฮัมหมัดยูโซฟ บินมามะ ผู้บัญชาการตำรวจรัฐกลันตันประเทศมาเลเซีย บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดสำหรับการเดินทางเข้า-ออก ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 67 สกัดกั้นการลักลอบนำเข้ายาเสพติด ซึ่งเป็นผลพวงมาจากกรณีการจับกุม น.ส.วันโนรชาฮีดาอัซลิน บินตีวันอิสมาอีล นักร้องชาวมาเลเซีย พร้อมยาบ้า 6,060 เม็ด ในพื้นที่ สุไหโก-ลก เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 67

นายสัมพันธ์ กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่เรื้อรังทำให้เศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล ทำให้การค้าขายตามตะเข็บชายแดนได้รับผลกระทบพอสมควร ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม ขณะที่ตนเองพยายามประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้

สำหรับประเทศมาเลเซีย ได้จัดตำรวจตระเวนชายแดนมาปฏิบัติหน้าที่ตามช่องทางธรรมชาติซึ่งเป็นจุดผ่อนปรน 6 ช่องทางของเมืองรันตูปันยัง รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ตรงข้ามกับ อ.สุไหงโกลก คือ ท่าชมพู่ ท่าโรงเลื่อย ท่ากอไผ่ ท่าเจ๊ะกาเซ็ง ท่าประปา และท่าโต๊ะแว พร้อมจัดตำรวจชุดนอกเครื่องแบบ ลาดตระเวนตามเส้นทางที่มุ่งหน้ามาจากช่องทางข้ามธรรมชาติฝั่งไทย ซึ่งที่ผ่านมามีชาวไทยและมาเลเซียถูกจับกุมแล้วหลายราย

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฟากฝั่งไทย-มาเลเซีย ยังคงเปิดบริการเรือโดยสารรับจ้างตามปกติ ซึ่งจุดผ่อนปรนไทยทั้ง 7 ช่องทางข้ามตามธรรมชาติมีการส่งทหารกองร้อยป้องกันชายแดนที่ 3 สนธิกำลังกับกำลัง อส.สุไหโก-ลก ปฏิบัติหน้าที่ที่ช่องทางข้ามตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงตั้งจุดตรวจจุดสกัดบนถนนที่มุ่งสู่ช่องทางข้ามธรรมชาติ

สำหรับประชาชนทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซีย ปัจจุบันเริ่มนั่งเรือข้ามฟากไปมาน้อยลง ส่งผลต่อวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ขณะที่ผู้ประกอบการต่างได้รับผลกระทบ ประสบกับปัญหาเศรษฐกิจทรุดหนัก

Related Posts

Send this to a friend