PUBLIC HEALTH

กทม. ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็ก 12-18 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

ยืนยัน หากฉีดเกิน 70 เปอร์เซ็นต์จะหารือกับ ศธ. และ ศบค.เพื่อเปิดโรงเรียน

วันนี้ (21 ก.ย.) เวลา 11.30 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางมายังอาคารทีปังกรรัศมีโชติ ชั้น 6 คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล เพื่อตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนให้กับเด็กอายุ 12-18 ปี ที่มีโรคในกลุ่ม 7 โรคกลุ่มเสี่ยง ทางวชิรพยาบาลได้มีการจัดการฉีดวัคซีนจำนวน 1,600 โดส ซึ่งจะฉีดให้เด็กนักเรียนโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 437 แห่ง แบ่งเป็นผู้มารับวัคซีนเข็มแรก 900 คน และเข็มที่ 2 700 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกไปเมื่อวันที่ 27 ส.ค.

สำหรับเด็กอายุ 12-18 ปีที่เข้ารับวัคซีนในวันนี้ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มโรคอ้วนในเด็ก โรคหัวใจเป็นหลัก รวมถึงมีโรงมะเร็ง และโรคอื่น ๆ ใน 7 โรคกลุ่มเสี่ยง โดยผู้ที่รับวัคซีนไฟเซอร์ในวันนี้ จะได้รับเข็มที่ 2 ในวันที่ 12 ต.ค. โดยทางเเพทย์ได้ให้ข้อมูลว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับการจัดสรรมาในรอบนี้มีจำนวนทั้งหมด 4,000 โดส ได้จัดฉีดไป 2,000 โดส และจะสำรองอีก 2,000 โดส ไว้สำหรับการฉีดเข็มที่ 2 นอกจากนี้ ยังมีประชาชนทั่วไปที่ได้เดินทางมารับวัคซีนแอสตร้าเซเนกาเป็นเข็มที่ 2 ประมาณ 200-300 คนด้วยเช่นกัน ภายหลังจากการรับวัคซีน จะมีการสังเหตอาการภายใน 30 นาที รวมถึงจะมีการติดตามอาการผ่านแอพพลิเคชันหมอพร้อม หากกรณีฉุกเฉิน สามารถติดต่อสายด่วนของโรงพยาบาลได้ทันที

ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ กล่าวว่า อยากให้เด็กนักเรียนทุกคน ไม่ใช่เพียงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึง และหากฉีดเกินมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ จะมีการหารือถึงกรณีการกลับมาเปิดโรงเรียนกับทางกระทรวงศึกษาธิการ และให้ทางศูนย์บริหารสถานการณ์เเพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (ศบค.) เป็นผู้ตัดสินใจ

ด้าน ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าวเพิ่มเติมถึงปริมาณวัคซีนที่ฉีดให้เด็กอายุ 12-18 ปีว่า ได้ใช้ปริมาณเดียวกันกับปริมาณที่ฉีดให้ประชาชนทั่วไป โดยจะมีการเก็บข้อมูลระยะยาว ซึ่งในระยะสั้น ยอมรับว่ามีความเสี่ยง แต่เมื่อประเมินความเสี่ยงแล้ว การฉีควันซีนให้เร็วที่สุดเพื่อทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

Related Posts

Send this to a friend