นายกฯ สั่งตั้งคณะทำงานพิจารณาวัคซีนทางเลือกให้รพ.เอกชน เตือน เปิดจองวัคซีนทั้งที่ไม่มีวัคซีนในมือถือว่าผิดกฎหมาย

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณี กลุ่มโรงพยาบาลเอกชนเรียกร้อง สิทธิการ ซื้อวัคซีนป้องกันโควิดเองได้นั้น ตนเองจึงได้เชิญตัวแทนโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องและตัวแทนโรงพยาบาลเอกชน เช่นโรงพยาบาลกรุงเทพโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์โรงพยาบาลเกษมราษฎร์โรงพยาบาลวิภารามโรงพยาบาลมหาชัยซึ่งมีนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาร่วมประชุมด้วยเมื่อวานนี้
โดยยืนยันว่าไม่ได้ปิดกั้นการนำเข้าวัคซีนของเอกชนใน ศบค. โดยจะแบ่งวัคซีนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 วัคซีนที่รัฐจัดหาเป็นหน้าที่ของรัฐบาล จัดหาวัคซีนให้เพียงพอและฉีดฟรีให้ประชาชน
กลุ่มที่ 2 คือวัคซีนทางเลือก ได้สั่งการให้ ตั้งคณะทำงานร่วม ภาครัฐและเอกชนขึ้นมาเพื่อรับฟัง ปัญหาและตอบโจทย์ภาคเอกชน ให้ได้เบื้องต้นมีกระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรมและผู้แทนของ โรงพยาบาลเอกชน เพื่อหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมโดยขอให้มีข้อสรุปออกมาภายใน 30 วัน
หากได้เพิ่มเติมจากวัคซีนทางเลือกก็จะครอบคลุม ประชากร ประมาณ 40 ล้านคนหรือ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรไทยทั้งหมด ซึ่งก็เป็นไปตามหลักวิชาการทางการแพทย์ป้องกันโรค
นอกจากนี้ยังได้สั่งให้กระทรวงสาธารณสุขไปปรับสัดส่วนการจัดสรรวัคซีนที่มีอยู่ให้ตรง กับสถานการณ์ความเสี่ยงให้มากขึ้นเนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยขอให้ วัคซีนที่จะเข้ามาอีก 1 ล้านโดส ฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ก่อน ทั้ง บุคลากรทางการแพทย์ของรัฐและเอกชนซึ่งถือเป็นด่านหน้าของการ เผชิญกับโรค รวมถึง อสม.ที่ถือเป็นผู้มีความเสี่ยงสูงทั่วประเทศ
ส่วนที่เหลือจะจัดสรร สัดส่วนให้เหมาะสม ให้ครอบคลุมกับกลุ่มเสี่ยงต่างๆเช่นเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ประชาชนที่มีโรคประจำตัวผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และประชาชนในพื้นที่ระบาด เป็นกลุ่มแรก
อย่างไรก็ตามต้องมีการบริหารและวางแผนล่วงหน้าการฉีดวัคซีนที่มีอยู่และจะเข้ามาอีกในล็อตใหม่ จะทยอยดำเนินการต่อไป ส่วน ที่พบว่า เอกชนบางรายมีการโฆษณา ให้ประชาชนจังหวัดซีนโดยที่ไม่มีวัคซีนอยู่ในมือจะถือว่าผิดกฎหมาย เป็นการโฆษณายา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ส่วนที่มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชนบางรายนำวัคซีนไปฉีดให้กับบุคคลที่อยู่นอกกลุ่มเป้าหมายกระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบแล้ว เบื้องต้นทางสมาคมโรงพยาบาลก็ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ แต่ก็ขอกำชับให้แต่ละจังหวัดลงไปดูในเรื่องนี้ อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันยังมีช่องทางนำเข้าเดียวคือจัดหาโดยรัฐบาล แต่ในอนาคตต่อไป จะมีการนำเข้าวัคซีนทางเลือกมาเพิ่ม เพื่อจะสามารถให้เอกชนนำไปฉีดให้กับประชาชนได้
สำหรับคุณภาพของวัคซีน ของ astrazeneca ที่หลายคนได้ยินว่าบางประเทศระงับการฉีดวัคซีนของ astrazeneca แล้วไทยจะเชื่อมั่นได้อย่างไรนั้น ล่าสุดหน่วยงานกำกับดูแลด้านยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพของสหราชอาณาจักร และหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพของยุโรปมีการประเมิน ภาวะการเกิดภาวะอุดตันของลิ่มเลือดหลอดเลือดร่วมกับภาวะเกล็ดเลือดต่ำ สรุปว่าวัคซีน astrazeneca จะช่วยป้องกัน และช่วยในการเจ็บป่วยจากโรคโควิด ในทุกระดับความรุนแรง ได้ และมีประโยชน์ มากกว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดจากอาการไม่พึงประสงค์ อาจจะมีอาการอย่างอื่นขึ้นมาด้วยแต่ก็ต้องปรึกษาแพทย์และหมอได้ทันที
เช่นเดียวกับ องค์การอนามัยโลกระบุว่าข้อมูลปัจจุบันความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของภาวะลิ่มเลือดอุดตันจำเป็นต้องศึกษา เฉพาะทางเพิ่มเติม นอกจากนี้การเกิดอาการไม่พึงประสงค์พบได้ยากมากและมีรายงานว่าเป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่ได้รับวัคซีน astrazeneca ทั่วโลกเกือบ 200 ล้านคน ในปัจจุบัน
ท้ายที่สุดนี้ในเรื่องของ การผลิตวัคซีนป้องกัน covid ของไทย ที่ดำเนินการโดยบริษัท Siam bioscience ทุกอย่างเป็นไปตามแผนและได้ผลดี ขณะนี้ได้ทยอยผลิตวัคซีนตั้งแต่ต้นน้ำคือผลิตในประเทศเรา และอยู่ในขั้นตอนการส่งตรวจ คุณภาพวัคซีนหน้าห้องปฏิบัติการอ้างอิงในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะรู้ผลในเร็ววันนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแผนการส่งวัคซีน จาก astrazeneca ให้กับกรมควบคุมโรคในช่วงกลางปีนี้ จะทยอยส่งเดือนละ 5-10 ล้านโดส ซึ่งสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนของรัฐบาลที่วางไว้ทั้งหมดนี้ เป็นหลักประกัน ว่าเราจะเข้าถึงวัคซีนได้ในเวลาที่เหมาะสม และสามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งการแพร่ระบาดของ covid 19 และโรคติดต่ออุบัติใหม่ในอนาคต