BUSINESS

แอปฯ เรียกรถ Maxim โอกาสจากเมืองท่องเที่ยว สู่การเป็นธุรกิจที่มุ่งเข้าใจในชุมชน

ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันในประเทศไทย ชื่อของ Maxim อาจยังไม่เป็นที่ติดปากนัก เมื่อเทียบกับผู้เล่นรายใหญ่ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าหลายปี แต่ภายใต้การดำเนินงานที่มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของผู้คนโดยเริ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ ได้สร้างความแตกต่างและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวและเมืองรองต่าง ๆ The Reporters ได้พูดคุยกับนายพงศ์พัฒน์ อักษราวรกานต์ ผู้บริหารแอปพลิเคชัน Maxim ประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจถึงแนวคิด เบื้องหลังการดำเนินงาน และวิสัยทัศน์ในอนาคตของ Maxim ในฐานะอีกหนึ่งผู้เล่นของแอปพลิเคชันเรียกรถ

แอปพลิเคชันเรียกรถ Maxim เริ่มให้บริการในประเทศไทย ในช่วงสิงหาคม พ.ศ.2565 โดยมีการดำเนินงานแยกส่วนจากการบริหารงานของแอปพลิเคชัน Maxim ในประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกันทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรัฐบาลของแต่ละประเทศ

โอกาสที่มาจากความเข้าใจ ตอบโจทย์ pain point ของคนเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด

นายพงศ์พัฒน์เล่าถึงการเริ่มต้นธุรกิจในช่วงแรกว่า “ก่อนก่อตั้ง Maxim ผมมองว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้บริการขนส่งสาธารณะก็เพิ่มตามไปด้วย โดยเฉพาะในหัวเมืองต่างจังหวัด เราจึงเห็นเป็นโอกาสทางธุรกิจในการนำเทคโนโลยีแอปพลิเคชันเรียกรถมาเปิดให้บริการในประเทศไทย โดยเริ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวสูง มีผู้คนในเมืองที่ต้องเดินทางมา แต่การขนส่งสาธารณะที่รองรับอาจยังมีจำกัด ทำให้มีโอกาสทางธุรกิจอยู่มาก การปักธงที่นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”

การเริ่มต้นธุรกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ของ Maxim เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว และในขณะนั้นมีคู่แข่งไม่มากนัก รวมถึงโครงสร้างคมนาคมพื้นฐานยังมีพื้นที่ให้ธุรกิจ Maxim สามารถเติบโตได้ การเลือกเริ่มต้นในการให้บริการแก่หัวเมืองต่างจังหวัด ก่อนเจาะตลาดกรุงเทพมหานครที่มีคู่แข่งขันที่แข็งแกร่ง นับเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญและช่วยพลิกเกมทางธุรกิจ ในการบริหารจัดการงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และยังลดความเสี่ยงในการแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ที่พัฒนาไปไกลแล้ว

ในเวลาเพียงยังไม่ถึง 3 ปี ปัจจุบัน Maxim ได้ขยายการให้บริการครอบคลุมมากกว่า 20 พื้นที่ในการให้บริการได้แก่

ภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน

ส่วนภาคอิสานครอบคลุม ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุดรธานี อุบลราชธานี

ภาคตะวันออกได้แก่ ระยอง ชลบุรี เมืองพัทยา

ภาคใต้ได้แก่สุราษฎร์ธานี เกาะสมุย หัวหิน หาดใหญ่ ภูเก็ต ภาคกลาง อยุธยา พิษณุโลก

รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณทล

เจาะกลุ่มเป้าหมายด้วยความเข้าใจ และการตลาดแบบถึงตัว

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของ Maxim คือกลุ่มคนทั่วไป กลุ่มนักเรียน นักศึกษา และรองลงมาคือกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้พิการที่มักเรียกใช้บริการเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง อย่างการไปโรงพยาบาล ความง่ายในการเข้าถึง การใช้งาน การสื่อสารให้ถึงตัวกลุ่มเป้าหมาย และโปรโมชั่นที่โดนใจจึงเป็นกลยุทธ์ความสำเร็จที่สำคัญของ Maxim

นายพงพัฒน์เล่าให้ฟังถึงการออกแบบแอปพลิเคชันว่า “เราพยายามสร้างแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญโดยเฉพาะการระบุค่าบริการและรายละเอียดต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจค่าใช้จ่ายได้ง่าย โดยไม่ต้องกดเข้าไปดูในหลายขั้นตอน นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานกลุ่มพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุและผู้พิการ ด้วยการรองรับฟังก์ชัน Accessibility ในสมาร์ทโฟน นอกจากจะสั่งผ่านแอปฯ แล้ว ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือแม้กระทั่งผู้พิการยังสามารถโทรเข้ามาที่สำนักงานของ Maxim เพื่อให้พนักงานช่วยดำเนินการเรียกรถให้ได้ด้วย นับการเป็นความเท่าเทียมในการใช้งานซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของเรา”

ในส่วนของคนขับรถในการให้บริการของ Maxim ได้มีความมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนขับเหมือนคนในครอบครัว โดยในแต่ละพื้นที่ให้บริการ จะมีสำนักงานและทีมงานในที่ครอบคลุม เพื่อให้คนขับรถโดยสารสามารถเข้ามาติดต่อสอบถาม ขอคำแนะนำ หรือแจ้งปัญหาได้โดยตรง ไม่ใช่เพียงคนขับของ Maxim เท่านั้น คนขับจากแอปพลิเคชันอื่นก็เข้ามาปรึกษาได้เช่นกัน นับเป็นแนวคิดที่ทำลายกำแพงข้อจำกัดเรื่องแบรนด์

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือคนขับ Maxim และตอบโจทย์ความต้องการของภาครัฐในทิศทางเดียวกัน จึงได้ออกแคมเปญพิเศษให้โบนัสสำหรับคนขับที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียน รย.18 หรือ ‘รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์’

นายพงศ์พัฒน์เสริมประเด็นนี้ว่า “Maxim คิดค่าคอมมิชชันจากคนขับในอัตราต่ำเพียง 8-12% ขึ้นอยู่กับพื้นที่และเงื่อนไข พร้อมยังมีแคมเปญ 0% ในบางช่วงเวลา โดยคนขับจำเป็นต้องมีรถเป็นของตนเอง รวมถึงต้องมีใบขับขี่สาธารณะ รวมถึงพ.ร.บ.ขับขี่สาธารณะและประกันภัยที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งในส่วนนี้ Maxim รับเป็นที่ปรึกษาและช่วยในการจัดหาให้ด้วย”

ในด้านการตลาด และการสื่อสาร Maxim ใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเข้าถึงตัวกลุ่มเป้าหมายแบบตรงจุด โดยทำทั้ง Offline โดยลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์แอปพลิเคชันในพื้นที่ชุมชนที่มีการให้บริการโดยตรง อาทิ ห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา และ Online ด้วยการแนะนำแอปพลิเคชั่น และการใช้งานผ่านผู้ใช้งานจริงที่เป็น Nano หรือ Micro Influencer ในท้องถิ่น เพราะเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหา และแนะนำการใช้งานได้ตรงใจคนในพื้นที่มากกว่า อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมรายได้ให้กับคนในพื้นที่ แทนการใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับสื่อโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มประชาชน

นอกจากนี้ Maxim ยังมีโปรโมชั่นแบบ Location Base สำหรับกลุ่มเป้าหมาย เช่นนักเรียน นักศึกษา หรือบุคลากรในสถานศึกษา โดยการเรียกรถในอัตราค่าบริการพิเศษ หากมีต้นทาง หรือปลายทางเป็นสถานศึกษาที่เข้าร่วมโปรโมชั่น ส่งผลให้กลายเป็นทางเลือกต้นๆ สำหรับผู้ใช้บริการในบริเวณดังกล่าวได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว

พงศ์พัฒน์ อักษราวรกานต์ ผู้บริหารแอปพลิเคชัน Maxim ประเทศไทย

อนาคต Maxim คือการเพิ่มบริการให้ลูกค้า และการให้ความสำคัญกับผู้ให้บริการ

ในระยะ 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า Maxim วางแผนที่จะพัฒนา และขยาย Marketplace สำหรับบริการออนไลน์ที่หลากหลาย เช่น บริการรถเช่า บริการรับผ้าไปร้านซักรีด (ซึ่งมีให้บริการแล้วที่เชียงใหม่) บริการเรียกแม่บ้าน บริการ Food Delivery และบริการรับส่งสัตว์เลี้ยง นายพงศ์พัฒน์มองว่าจุดเด่นของ Maxim คือการเป็นแพลตฟอร์มเรียกรถที่มีความยืดหยุ่นสูงสามารถเพิ่มบริการใหม่ๆ ได้ตามความต้องการของตลาดในอนาคต

“ชาเลนจ์สำคัญที่สุดไม่ใช่การแข่งขัน หรือการขยายบริการ แต่เป็นการทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมเติบโตไปพร้อมๆ กันได้ และเพิ่มโอกาสให้กับคนขับ ควบคู่ไปกับการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ ในการทำตามกฎหมาย และกติกาที่สร้างขึ้นเพื่อให้การให้บริการรถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างเรียบร้อย ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการ และผู้รับบริการไปพร้อมๆ กัน ซึ่ง Maxim พร้อมที่จะสนับสนุนคนขับของเราในทุกมิติ เพื่อให้พวกเขาเติบโตในอาชีพนี้ได้อย่างมั่นคง และเราก็มีความพร้อมในการพัฒนาบริการ รวมถึงเปิดบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของผู้ใช้บริการ” นายพงศ์พัฒน์ กล่าว

Maxim ในประเทศไทย ไม่ได้เป็นเพียงแค่แอปพลิเคชันเรียกรถ แต่เป็นธุรกิจที่พยายามทำความเข้าใจและเติบโตไปพร้อมกับชุมชนโดยทุ่มเทเปิดสำนักงานทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาไปในตัว โดยการนำเสนอทางเลือกการเดินทางที่เข้าถึงง่าย สร้างโอกาสให้กับคนขับ และให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่กันไป

Related Posts

Send this to a friend