อโกด้า เผยผลสำรวจ Women in the Workplace: Asia ส่งเสริมการยอมรับคนทุกกลุ่ม
อโกด้า บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว เผยผลการสำรวจผู้หญิงในที่ทำงาน สำหรับภูมิภาคเอเชียหรือ “Women in the Workplace: Asia” ครั้งแรก ในจำนวน 12,000 คน ใน 10 ประเทศ ที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย พบว่า 3 เรื่องที่บริษัทควรดำเนินการ อย่างเร่งด่วนที่สุด ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมของที่ทำงาน ให้มีการยอมรับคนทุกกลุ่ม โดยไม่แบ่งแยก หรือ Inclusivity ซึ่งถือเป็นการสร้างสภาพแวดล้อม ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าได้รับความเคารพ ทั้งในสังคมและทางอาชีพ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ทั้งนี้การสร้างสภาพแวดล้อมของที่ทำงาน ให้มีการยอมรับคนทุกกลุ่ม โดยไม่แบ่งแยก ที่คิดเป็น 70% จะช่วยดึงดูดและรักษาคนเก่งได้ 63% และปรับปรุงผลลัพธ์ทางธุรกิจให้ดีขึ้นได้ 45% ที่มาจากปัจจัย 3 ด้านได้แก่ 1.การมองเห็นโอกาสได้อย่างชัดเจนโปร่งใส 2.ความยืดหยุ่นในที่ทำงาน 3.การเข้าถึงโอกาสได้ ซึ่งทั้ง 3 เรื่องดังกล่าว เป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ มากกว่าการจ่ายค่าตอบแทนอย่างเท่าเทียม และการสนับสนุนผู้ที่มีบุตร
เอเลียนา คาร์เมล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล อโกด้า กล่าวว่า ผลสำรวจนี้มีประโยชน์ต่อองค์กรที่ต้องการรักษาคนเก่ง (talent) ที่มีคุณภาพในภูมิภาคเอเชีย เพราะการสร้างสภาพแวดล้อม ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าได้รับความเคารพ ทั้งในสังคมและทางอาชีพเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ความเป็นธรรมทางโอกาส ทั้งความสามารถในการมองเห็นโอกาสที่มีอยู่ และการเข้าถึงเครื่องมือ หรือการฝึกอบรมเพื่อเข้าถึงโอกาส เป็นคำตอบที่เราเห็นได้ชัดเจนมาก จากการสำรวจครั้งนี้ สำหรับองค์กรที่ต้องการจ้างคนเก่งในระดับแนวหน้า (top talent) เส้นทางอาชีพ เป้าหมายที่ชัดเจน และความชัดเจนว่าความสำเร็จหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น สำคัญมากในปัจจุบัน”
จากการวิเคราะห์พบว่า ความแตกต่างทางความคิดเห็น เป็นไปตามอายุมากกว่าตามเพศอย่างมาก แม้ว่าในภาพรวมทุกคนจะมองว่า “การมองเห็นโอกาสได้อย่างชัดเจนโปร่งใส” เป็นเรื่องสำคัญอันดับ 1 แต่เมื่อเจาะลึกลงไปเฉพาะกลุ่มตามช่วงอายุ จะเห็นความแตกต่างว่า ในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 18-24 ปี มีเพียง 38% เท่านั้นที่ให้ความสำคัญที่สุด กับการมองเห็นโอกาสได้อย่างชัดเจนโปร่งใส ในขณะที่กลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 55 ปี คิดเป็น 49% การจัดอันดับความสำคัญนั้น แตกต่างไปตามเพศ โดยเมื่อพูดถึงการสร้างพลังบวก เพื่อส่งเสริมความสำเร็จ (empowerment) ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นกลุ่มคน ที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือ “นอน-ไบนารี” (non-binary) มีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจ กับการนับรวมทางสังคม (social inclusion) การนับรวมทางอาชีพ (professional inclusion) และกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ที่มาจากคนทุกกลุ่มอย่างสมดุล (balanced representation within senior leadership) ว่าเป็นประเด็นสำคัญต่อการสร้างพลังบวกเพื่อส่งเสริมความสำเร็จในที่ทำงาน (empowerment) มากกว่าเพศอื่นๆ
สำหรับการส่งเสริมสภาพแวดล้อม ของที่ทำงานให้มีการยอมรับคนทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยก โดยผลสำรวจดังกล่าว มาจากทั้งผู้ตอบแบบสอบถาม 1 ใน 4 ที่ “ลาออก” เนื่องจากการเลือกปฏิบัติทางเพศ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจ (46%) เชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็น (glass ceiling) หรือสิ่งที่ทุกคนมองข้าม ซึ่งเปรียบเสมือนกำแพงที่กีดกัน ความก้าวหน้าของคนทุกเพศ ยังคงมีอยู่ในประเทศของตัวเอง
โดยผู้ตอบแบบสอบถาม จากเวียดนาม (63%) ไทย (56%) และไต้หวัน (53%) มีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยมากกว่ากับผลสำรวจข้างต้น ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม จากฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยน้อยที่สุด (27%) นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเพศชาย และนอน-ไบนารี (41%) ที่เชื่อว่ากำแพงที่มองไม่เห็นยังคงมีอยู่ มีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ตอบแบบสอบถาม เพศชายหญิง (52%) และความเชื่อนั้นแตกต่างไปตามอายุ โดยผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 18-24 ปี (53%) ที่เชื่อว่ากำแพงที่มองไม่เห็นยังคงมีอยู่ มีสัดส่วนมากกว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ที่อายุมากกว่า 45 ปี (42%) ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 18-24 ปี มีแนวโน้ม(ที่จะ)ลาออก หรือ รู้จักคนที่ลาออกเนื่องจากการเลือกปฏิบัติทางเพศมากกว่า (35%) เมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสอบถาม อายุมากกว่า 55 ปี (12%)
ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 7 ใน 10 เชื่อว่าสภาพแวดล้อม ของที่ทำงานของผู้หญิงเปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้นในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา (เชื่อว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย 41% และดีขึ้นมาก 28%) มีเพียง 8% ที่เชื่อว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เมื่อมองผลสำรวจตามแต่ละเพศ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามเพศชาย 32% สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ตรงกันข้ามกับผู้ตอบแบบสอบถามเพศหญิง 25% และผู้ตอบแบบสอบถามนอน-ไบนารี 24% ผู้ตอบแบบสอบถามเพศหญิง 42% รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามเพศชาย 39% และผู้ตอบแบบสอบถามนอน-ไบนารี 37%
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ของที่ทำงานสำหรับผู้หญิงในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา เมื่อมองผลสำรวจแบบแต่ละประเทศ เห็นได้ว่าญี่ปุ่น (57%) และเกาหลีใต้ (40%) มีแนวโน้มที่จะเห็นว่าสภาพแวดล้อมของที่ทำงานสำหรับผู้หญิง มีการพัฒนาน้อยที่สุด หรือมองว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย หรือมองว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง ในทางตรงกันข้าม ผู้ตอบแบบสอบถามจากฟิลิปปินส์ (44%) อินเดีย (36%) อินโดนีเซีย (36%) เวียดนาม (35%) และไทย (28%) มองว่ามีการพัฒนาที่ดีขึ้นมากในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา
“การปรับปรุงสภาพแวดล้อมของที่ทำงาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้หญิง ก็เป็นประโยชน์ต่อองค์กรโดยรวมด้วยเช่นกัน แม้ว่ากำแพงที่มองไม่เห็นยังคงมีอยู่ แต่จากผลสำรวจจะเห็นได้ว่า ผู้คนในภูมิภาคเอเชียมีความรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนา จากผลการสำรวจของอโกด้า เผยให้เห็นว่ามีคนอายุ 18-24 ปี ที่แนวโน้มที่จะไม่ทนต่อการเลือกปฏิบัติทางเพศมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง หรือรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น”
“องค์กรที่จะประสบความสำเร็จ ต้องสร้างวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม ที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ แต่ต้องลงมือทำให้เห็นจริงในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ทุกคนรู้บทบาท และเห็นโอกาสของตัวเองอย่างชัดเจน การสนับสนุนวัฒนธรรมการกล้าพูด แต่ทั้งนี้เสียงของทุกคนจะต้องไม่ถูกละเลย หรือไม่ถูกมองข้าม หรือเพียงแค่นำเสนอความเท่าเทียมเท่านั้น แต่ควรใช้แนวทางปฏิบัติ ที่สร้างความยืดหยุ่นในการทำงานให้พนักงาน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีกลุ่มคนใดเสียเปรียบ” เอเลียนา กล่าว
ทั้งนี้ประโยชน์ของความสมดุลทางเพศ ในกลุ่มพนักงาน โดย 2 ใน 3 (66%) ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศต่างๆ ระบุว่าความสมดุลทางเพศในกลุ่มพนักงาน เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม อายุ 18-24 ปี (71%) การเพิ่มความหลากหลายทางเพศ ในทีมผู้บริหารหรือผู้นำ จึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น สำหรับองค์กรต่างๆ ผลการสำรวจพบว่าประโยชน์ของความสมดุลทางเพศ ในกลุ่มพนักงาน คือสภาพแวดล้อมของการทำงาน ที่ยอมรับคนทุกกลุ่ม โดยไม่แบ่งแยก (inclusive work environment) (70%) ช่วยดึงดูดและรักษาคนเก่ง (63%) และปรับปรุงผลลัพธ์ทางธุรกิจให้ดีขึ้น (45%)
“ผลการสำรวจผู้หญิงในที่ทำงานในภูมิภาคเอเชีย (Women in the Workplace: Asia) ครั้งแรกของอโกด้า เผยให้เห็นชัดว่าทัศนคติ ต่อการยอมรับคนทุกกลุ่ม โดยไม่แบ่งแยกในสถานที่ทำงาน (workplace inclusivity) เปลี่ยนแปลงไปตามกลุ่มคนแต่ละรุ่น การทำความเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างระหว่างคนแต่ละรุ่น ในกลุ่มพนักงานไม่ได้เป็นเพียงข้อได้เปรียบ เชิงกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญ ในการปลดล็อกนวัตกรรม ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน และสร้างสถานที่ทำงานที่ประสบความสำเร็จ ในมุมมองที่หลากหลาย”
“ผลสำรวจนี้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญ ในการสร้างทีมผู้นำที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการเป็นตัวแทนทางเพศ ในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ไม่แบ่งแยก การดึงดูดคนที่มีความสามารถ และการขับเคลื่อนความสำเร็จของธุรกิจ การศึกษานี้ทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการทำความเข้าใจ และผลักดันแนวทางของการยอมรับ คนทุกกลุ่มโดยไม่แบ่งแยกในสถานที่ทำงาน ในภูมิทัศน์เอเชียที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา” เอเลียนา กล่าว