AROUND THAILAND

ชลประทานเชียงรายดันน้ำอิงออกสู่โขง​ กังวลเขื่อนจีนปล่อยน้ำหนุน​

ชลประทานเชียงรายใช้เครื่องดันน้ำอิงออกสู่โขง​ กังวลเขื่อนจีนปล่อยน้ำหนุน​ ทำแม่น้ำโขงยกระดับใกล้วิกฤต​ เทียบปีนี้รุนแรงกว่าเหตุการณ์ปี 51 เชื่อหากสร้างเขื่อนปากแบง​ ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์รุนแรงขึ้น

วันนี้ (24 ส.ค. 67) โครงการชลประทานเชียงราย นำเครื่องดันน้ำ 10 เครื่องมาติดตั้งที่ใต้สะพานข้ามแม่น้ำอิง เพื่อดันน้ำอิงออกสู่แม่น้ำโขง เนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำอิงเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว​หลังมีการปล่อยน้ำจากกว๊านพะเยาต้นทางแม่น้ำอิง ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำอิงเข้าท่วมพื้นที่ อ.เทิง อ.ขุนตาล และ อ.เชียงของ

ว่าที่ ร.ต.ศราวุธ จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า แม่น้ำอิงมีปริมาณน้ำมากกว่าที่ผ่านมาจึงต้องผลักดันน้ำออกให้เร็วที่สุด นอกจากพื้นที่ อ.เชียงของ อ.เทิง แล้ว อ.ขุนตาล​ ก็ได้รับผลกระทบด้วย ถ้าระดับน้ำโขงยังต่ำกว่าระดับน้ำอิงจะทำให้แรงผลักน้ำมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น โดยจะดู 2-3 วันแรกหลังจากติดตั้งเครื่อง ดูผลพื้นที่ใกล้ ๆ ถ้าลดลงแสดงว่าได้ผล

นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย กล่าวว่า ได้รับการสนับสนุนเครื่องผลักดันน้ำ จำนวน 10 เครื่องจากกรมชลประทาน อัตราการสูบ(ผลักดัน) 1.2 ลบ.ม.ต่อวินาทีต่อเครื่อง ระยะยกน้ำ 1.2 เมตร ใช้พลังงาน 25 kw ความเร็วน้ำที่เหมาะสมกับการติดตั้ง ไม่เกิน 1.8 เมตรต่อวินาที ผลักดันได้ 12-13 ลบ.ม.ต่อวินาที จะผลักดันน้ำให้ไหลได้เร็วขึ้น

นายทวีชัย​ กล่าวถึงกรณีที่ปริมาณน้ำเขื่อนจิ่งหง ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีนตอนใต้​ มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจมีปริมาณน้ำมาเติมในแม่น้ำโขง​ ทำให้น้ำในแม่น้ำสาขาระบายได้ยากว่า ข้อมูลของ สทนช.มีอัตราการไหลของน้ำที่ท้ายเขื่อนจิ่งหง เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ประเมินร่วมกัน แต่มีข้อมูลว่าท้ายเขื่อนก็มีฝนตก เช่นเดียวกับอ่างเก็บน้ำในบ้านเราที่ระบายน้ำมา ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มวลน้ำจะมารวมกันในแม่น้ำโขง

นิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ

ด้านนายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ กล่าวว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา แม่น้ำโขงยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง​ อยู่ในระดับ 10 เมตร กังวลว่าเขื่อนจิ่งหงจะปล่อยน้ำเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งผลกระทบจะเกิดขึ้นกับท้ายน้ำบ้านเรา ทั้งนี้​ ถ้าระดับน้ำที่ อ.เชียงของ​ ถึงระดับ 11-12 เมตร ถือว่าวิกฤตรุนแรง และจะเกิดความเสียหายกับประชาชนในลุ่มน้ำโขงและในลุ่มน้ำสาขาอย่างรุนแรงแน่นอน

นายนิวัฒน์ กล่าวถึงความแตกต่างของการยกระดับน้ำขึ้นระหว่างปี 2551 เมื่อเทียบกับปีนี้ว่า วิกฤตปีนี้คือผลกระทบรุนแรง ฝนตกมาก​ แม่น้ำสาขาก็ยกระดับขึ้นสูง ประจวบกับแม่น้ำโขงยกระดับขึ้นด้วย ส่วนปี 2551 เป็นการเพิ่มระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่เกิดจากเขื่อนตอนบนที่ปล่อยน้ำลงแม่น้ำโขง​ แต่แม่น้ำสาขามีน้ำไม่มากเท่าปีนี้ ถ้าน้ำโขงยกระดับกว่านี้พื้นที่เกษตรลุ่มน้ำอิงจะท่วมแช่อยู่นานทำให้เกิดผลเสียหายกับพื้นที่ทางการเกษตร

“ผมคิดว่าในปีนี้ผลกระทบรุนแรง​ เพราะปัจจัยที่ทำให้รุนแรงมีมากขึ้น ต่างจากในอดีตที่ไม่มากเท่าครั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้รุนแรงคือสิ่งก่อสร้าง ถนน ที่ขวางทางเดินของน้ำ และประตูระบายน้ำในแม่น้ำที่มีมาก ในแม่น้ำอิงมี 18 ประตู การทำการเกษตรทำลายผิวดิน น้ำป่าเกิดจากการชะล้างมาจากหุบเขา การจัดการน้ำที่ผ่านมาโดยเฉพาะน้ำขึ้น น้ำแห้ง น้ำท่วมในแม่น้ำอิง แก้ปัญหาด้วยการขุดลอกเท่านั้น ไม่ได้คิดเรื่องนิเวศในแม่น้ำอิงฟื้นฟูและก็สามารถลดทอนปัญหาในเรื่องของน้ำท่วมน้ำแล้งได้” นายนิวัฒน์ กล่าว

นายนิวัฒน์​ กล่าวต่อว่า วิกฤตแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างเขื่อนปากแบง ทุกภาคส่วนจะต้องตระหนัก ถ้าเหตุการณ์ภัยพิบัติธรรมชาติเป็นอย่างนี้ แล้วมีเขื่อนปากแบง กั้นแม่น้ำโขงอยู่ทางตอนใต้ของเชียงของ และเวียงแก่น ผลกระทบจะยิ่งรุนแรง เพราะ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ อ.เวียงแก่น จะเป็นเหมือนอ่างเก็บน้ำในฤดูฝน ระหว่างเขื่อนจิงหงที่อยู่ตอนบน กับเขื่อนปากแบงตอนล่าง

ข้อมูลจาก​ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ​ สทนช. ระบุว่า ปริมาณน้ำท้ายเขื่อนจิงหงเพิ่มขึ้นในช่วง 3 วันที่ผ่านมา​ จาก 1,375 ลบ.ม./วินาที ในวันที่ 19 ส.ค.​ 67 เพิ่มเป็น 2,205 ลบ.ม./วินาที ในวันที่ 23 ส.ค.​ และข้อมูลจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission-MRC) ระบุว่า วันนี้ระดับน้ำโขงที่หน้าเขื่อนจิงหงเพิ่มขึ้นอีก 0.46 เมตร

Related Posts

Send this to a friend