ประชุมแก้ปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ หลังเสียหายหนัก 4 แสนล้านบาทจากโรคระบาด
นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการแก้ไข “โรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพารา โรคเชื้อราในใบทุเรียน และโรคเหี่ยวของกล้วยหิน” ณ ห้องประชุมเทศบาลนครยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยมีผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่ และตัวแทนกลุ่มเกษตรกรร่วมหารือ เพื่อรับทราบสถานการณ์ปัญหา สถานะขององค์ความรู้และแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า “ทั้งนี้ตัวเลขเศรษฐกิจภาคเกษตร และนอกภาคเกษตรของจังหวัดยะลา เริ่มดีขึ้นตั้งแต่ปี 2562 แต่เมื่อเทียบกับจังหวัดชุมพร ที่มีขนาดใกล้เคียงกันพบว่ามีตัวเลขสูงกว่ายะลาเกือบ 4 เท่าตัว สะท้อนถึงการใช้ประโยชน์ทั้งความรู้ และเทคโนโลยีที่ต่ำมากของเกษตรกร จึงต้องเร่งหาแนวทางในการสร้างมูลค่า เพื่อให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจขยับสูงขึ้น และหลุดพ้นจากความยากจน สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้มีปัญหา โรคใบร่วงชนิดใหม่ในสวนยางพาราและลุกลามไปยังสวนทุเรียน จึงต้องหาเจ้าภาพและงบประมาณ เพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจัง”
นายอับดุลอายี สาแม็ง ส.ส.ยะลา เผยว่า “ได้หารือในสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่เริ่มระบาดในจังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2562 เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ “ปัญหานี้ลุกลามไปในพื้นที่ 14 จังหวัด ถึงวันนี้ประเมินความเสียหายได้ประมาณ 4 แสนล้านบาท จึงอยากให้ สกสว.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความรู้ และงานวิจัยเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อระดมสมองแก้ปัญหาที่แสนสาหัส และน่าจะเป็นวาระแห่งชาติ อย่ารอให้ต้นยางตายก่อนค่อยมาคิดใหม่ แม้การแก้ปัญหาจะทำได้ระดับหนึ่งแต่ก็เป็นที่น่าพอใจ”
ผศ.ดร.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ด้านสังคม สิ่งแวดล้อม เชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ สกสว. กล่าวว่า “เวทีนี้ถือเป็นภารกิจหนึ่งของ สกสว.ที่จะเข้ามาดูปัญหาและความต้องการ ในพื้นที่เพื่อนำกลับไปพิจารณาแผนด้าน ววน.ในภาวะเร่งด่วนและหาแนวทางแก้ไข มีทางเลือกที่เหมาะสมให้เกษตรกร และพร้อมสนับสนุนการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้จริง และแก้ปัญหาของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ขณะที่ผู้แทนสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) ระบุว่าประเด็นเร่งด่วน คือต้องบริหารจัดการแปลง และทำให้พืชแข็งแรงทนต่อโรค ส่วนระยะยาวต้องวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของโรคและสภาพแวดล้อม เพื่อให้มีข้อมูลกลางแจ้งเตือนเกษตรกร ให้สามารถป้องกันล่วงหน้าเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการพัฒนาพันธุ์ใหม่ๆ สิ่งที่อาจทำได้เร็วคือ ต้นพันธุ์ที่ปลอดโรค เพื่อลดการกระจายสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ”
“ในส่วนของนักวิจัยมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ได้มุ่งใช้สารชีวภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย เนื่องจากยะลาเป็นพื้นที่ต้นน้ำ แต่บางพื้นที่ไม่เอื้ออำนวยการต่อการใช้สารละลาย จึงทดลองใช้สารชีวภัณฑ์ชนิดเม็ด มีแปลงทดสอบที่อำเภอกรงปินัง ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)ร่วมกับ ศอ.บต.และได้รับงบประมาณจากกองทุนส่งเสริม ววน.ผ่านมหาวิทยาลัยในโครงการ ‘การพัฒนาและการเพิ่มประสิทธิภาพ ของนวัตกรรมสารชีวภัณฑ์ เพื่อแก้วิกฤติปัญหาโรคใบร่วงชนิดใหม่ ในยางพาราที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของภาคใต้’
ส่วนกล้วยหินได้รับงบประมาณ จากอุทยานวิทยาศาสตร์เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี สู่ชุมชนโดยเน้นการใช้งานที่ง่ายและปลอดภัย และมองภาพอนาคตว่าหากเกษตรกร หันมาปลูกทุเรียนกันมากขึ้นและประสบปัญหาโรคใบร่วงจะทำอย่างไร อยากให้ใช้สารชีวภัณฑ์แบบบูรณาการ และได้รับการเติมเต็มจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อคลี่คลายปัญหา รวมถึงการสร้างความตระหนักให้เกษตรกรปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยลง
ขณะที่ นักวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ระบุว่า “ไฟป่าจากอินโดนีเซียเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พืชอ่อนแอ และพบความผิดปกติของใบยางพารา ที่ทำให้ใบร่วงทั้งสวน พร้อมกับศึกษาความผิดปกติในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน การหาสาเหตุที่แท้จริง การระบาด ความรุนแรงและลักษณะบาดแผล พบการแสดงอาการในต้นยางที่มีอายุมาก และมีพัฒนาการความหลากหลายของพันธุ์และทุกช่วงอายุ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในพื้นที่ภูเขาล้อมรอบและความชื้นสูง จึงพยายามให้ข้อมูลแก่เกษตรกรเพื่อรับมือการระบาด และทดสอบสารเคมีในท้องตลาด เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหา แต่เมื่อสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดโรคใหม่ที่ต้องเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น โดยนักวิจัยได้เรียนรู้ข้อจำกัดของแต่ละพื้นที่ ทั้งภาคใต้และภาคตะวันออก เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมและแนวทาง การป้องกันก่อนจะถึงช่วงระบาด เพื่อยับยั้งความรุนแรงของโรค รวมถึงการขยายฐานเครือข่ายเกษตรกร ส่วนการแก้ปัญหาโรคเหี่ยวกล้วยหินมีการทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ตั้งแต่เกิดการระบาดของโรค”
“ล่าสุดรับทุนจาก วช.ทำให้นักวิจัยค้นพบวิธีการที่เหมาะสม ในการแก้ปัญหาที่มีแมลงเป็นตัวนำแบคทีเรียในอากาศมาแพร่เชื้อ ทั้งการพัฒนาเครื่องดักแมลง เครื่องล่อแมลงนำโรคโซลาเซลล์ กับดักล่อแมลงด้วยฟีโรโมน พร้อมกับพัฒนาปลีกล้วยหินบันนังสตาปลอดโรค โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ และแนะนำให้ใช้สารชีวภัณฑ์ฆ่าแมลง ซึ่งขณะนี้งานวิจัยพร้อมแล้วที่จะนำไปแก้ปัญหาให้เกษตรกร จึงอยากขอให้รัฐบาลเข้ามาสนับสนุน งบประมาณจัดทำเครื่องล่อแมลงให้กับเกษตรกร”
ด้านตัวแทนเกษตรกร กล่าวว่า “ภาพรวมมีการบริหารจัดการทุกมิติค่อนข้างดี แต่ต้องคำนึงถึงความแตกต่างในแต่ละพื้นที่ โดยพื้นที่ภูเขาสูงจะฉีดพ่นลำบาก จึงอยากให้มีระบบนิเวศการจัดการสวนที่ดี สิ่งที่จะเป็นไปได้คือการทำให้พื้นที่สวนมีความโปร่ง แสงลอดผ่าน อากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด ใช้วัคซีนพืชเข้าสู่ระบบราก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในลำต้น และรักษาหน้ายาง มีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว การให้ชุดความรู้และเทคโนโลยีการป้องกันโรค แม้ปัญหาการลุกลามของโรคทำให้เกิดความวิตกกังวล แต่ถือเป็นโอกาสดีที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับนักวิชาการเพื่อรักษาปากท้องของเกษตรกรอย่างยั่งยืน”












