‘ชวน’ มองตำแหน่งประธานสภาฯ ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม
ย้ำต้องทำหน้าที่เป็นกลาง ทำตามอำเภอใจไม่ได้ แจงปม แก้ ม.112 ไม่ถูกบรรจุวาระ เพราะทุกฝ่ายเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ
นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงคุณสมบัติของประธานสภาฯ ว่า ขึ้นอยู่กับแต่ละฝ่ายที่จะเสนอ และมติของที่ประชุม เพราะตามปกติพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมาก จะได้เป็นประธานสภาฯ แตกต่างจากครั้งที่แล้ว ซึ่งตนได้ทำหน้าที่เป็นประธานสภาฯ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเต็มใจ และไม่หักโควตารัฐมนตรีของพรรค ซึ่งเหตุผลที่รับทำหน้าที่ เพราะเห็นว่าก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ไม่มีสภาฯ มา 5 ปี จึงรับหน้าที่เป็นประธานสภาฯ
สำหรับพรรคที่มีเสียงข้างมาก จะได้รับตำแหน่งประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคที่มีเสียงใกล้เคียงกับรัฐบาลจะได้เป็นฝ่ายค้าน เช่น กรณีพรรคความหวังใหม่ที่มีคะแนนมากสุด แต่ห่างจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่มาก คือ 125 กับ 123 เสียง และทั้ง 2 พรรคไม่ได้ร่วมรัฐบาลกัน ดังนั้นพรรคความหวังใหม่จะตั้งประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรีเอง โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน แต่ในกรณีที่พรรคมีคะแนนใกล้เคียงกันและร่วมรัฐบาลกัน คือ 151 กับ 141 จึงเป็นประเด็นใหม่ ที่ถูกพรรคเพื่อไทยนำมาต่อรอง
กรณีที่มีการใช้ตำแหน่งประธานสภาฯ มาทำประโยชน์ให้พรรคตัวเองนั้น นายชวน มองว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ควรไปศึกษารัฐธรรมนูญและข้อบังคับสภาว่าประธานสภาฯ มีหน้าอะไรบ้าง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ประสภาฯ สามารถเปลี่ยนชื่อนายกรัฐมนตรีได้ แต่ปัจจุบันสภาฯ เลือกใคร ประธานสภาฯ ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ มีหน้าที่เพียงเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ เท่านั้น ประธานสภาฯ ต้องเป็นกลาง แม้เป็นกรรมการบริหารพรรคก็ต้องลาออก และต้องเข้าใจกฎหมาย จะทำอะไรตามอำเภอใจไม่ได้ แม้แต่จะถ่วงเวลาก็ไม่ได้
นายชวน ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล เสนอกฎหมายยกเลิกมาตรา 112 ว่า เป็นการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อน พร้อมชี้แจงว่า การทำหน้าที่ของประธานและรองประธานสภาฯ มีการแบ่งหน้าที่กัน โดยนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่งรับผิดชอบ ร่าง พ.ร.บ.ที่เสนอเข้ามายังสภาฯ ทุกฉบับ โดยไม่ได้ผ่านประธานสภาฯ ขณะที่ นายศุภชัย โพธุ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ดูเรื่องญัตติและกระทู้ถาม ดังนั้นร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอ จะมีนายสุชาติเป็นผู้ดูแล ยืนยันได้ว่า ไม่มีการกลั่นแกล้ง เพราะมาไม่ถึงตนเอง มองว่า นายสุชาติ ใช้ดุลยพินิจถูกแล้ว จึงขอให้เข้าใจเรื่องนี้ว่า ที่มาวิจารณ์หรือตำหนิ อาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริง












