‘ชูวิทย์’ ยื่นหนังสือถึง อสส. – ประธาน ก.อ.เหตุอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี “ค้ามนุษย์” ลูก-เมีย เสี่ยกำพล
‘ชูวิทย์’ ยื่นหนังสือถึง อสส. – ประธาน ก.อ. เหตุอัยการ สั่งไม่ฟ้องคดี “ค้ามนุษย์วิคตอเรียซีเครท” กับลูก และภรรยา ‘เสี่ยกำพล’ หลังศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และวินิจฉัยเกินคำขอ พร้อมมอบ คำพิพากษากลับของศาลอุทธรณ์ หวังเป็นหลักฐานใหม่ในการช่วยรื้อคดี
วันนี้ (14 ก.พ.66) เวลา 13:30 น.ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายชูวิทย์ กมลวิศษฎ์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง นายพชร ยุติธรรมดํารง ประธานคณะกรรมการอัยการ หรือ ก.อ. รวมทั้งคณะกรรมการ ก.อ. และ น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อธิบดีอัยการสูงสุด เพื่อให้ตรวจสอบการทำงานของพนักงานอัยการ ในการทำคดีของ นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือเสี่ยกำพล เจ้าของสถานบริการ วิคตอเรียซีเครท ในข้อหาค้ามนุษย์ และคดีนอกราชอาณาจักร โดยมี นายธรัมพ์ ชาลีจันทร์ ผู้ตรวจการอัยการ และโฆษกสำนักอัยการสูงสุด เป็นตัวแทนรับหนังสือ
นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า หลักฐานคดีนี้ เป็นหลักฐานที่ชัดเจน และน่าเกลียดกว่าคดีบอส อยู่วิทยา และเป็นสิ่งที่อัยการสีเทากับสีดำ ควรจะหมดไปจากสถานบันตุลาการ รวมทั้งนายชูวิทย์ได้นำคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ เกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ และคดีนอกราชอาณาจักรของนายกำพล มาเพื่อชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธ และการช่วยเหลือของพนักงานอัยการ ที่ทำให้ภรรยา และลูกของนายกำพลหลุดจากคดี
นายชูวิทย์ ยืนยันว่า ตนเองมีพยานซึ่งเป็นอัยการ พร้อมย้ำชัดว่าคดีนี้มีการวิ่งเต้นช่วยเหลือกัน ในการถอนหมายจับ และการไม่สั่งฟ้องคดี โดยระบุอีกว่า คดีนี้เริ่มจากการไปช่วยเหลือเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเด็กมีการซัดทอดว่าเคยทำงานที่วิคตอเรียซีเครทเมื่อ 2-3 ปีก่อน จึงทำให้คดีนี้เป็นคดีค้ามนุษย์ และคดีนอกราชอาณาจักร โดยมีคนเชียร์แขกค้าเด็กคนดังกล่าวเป็นจำเลย
ทั้งนี้ จากการบุกจับสถานบริการดังกล่าว พบว่ามีเด็กอายุต่ำกว่าอายุ 18 ปีอีกหลายคน ทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งคดี ซึ่งเป็นคดีในราชอาณาจักร โดยมีจำเลยในคดีนี้คือ นายกำพล นางนิภา และนายธนพล ภรรยา และลูกของนายกำพล เป็นจำเลยด้วย แต่หลบหนี โดยคดีนี้มีนางสุกัญญา รัตนนาคินทร์ เป็นเจ้าของสำนวนคดี สั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกรายต่อศาล
ขณะที่คดีนอกราชอาณาจักร ของนายกำพล ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล แต่กลับมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลย อีกทั้งในการตัดสินคดีของศาลชั้นต้นดังกล่าว พิพากษายกฟ้อง ว่าไม่มีความผิดฐานค้ามนุษย์ และมีการวินิจฉัยเกินคำขอ โดยพาดพิงว่านายกำพล และครอบครัวไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ และเด็กที่เชียร์แขกเป็นผู้ทำกันเอง รวมทั้งมีการนำจำเลยในคดีในราชอาณาจักรมาวินิจฉัย หรือการตัดสินคดีนอกราชอาณาจักรพาดพิงมาในคดีในราชอาณาจักร ทำให้เป็นคำวินิจฉัยที่เกินขอบเขตตามความเห็นของศาลอุทธรณ์
นอกจากนี้ ครอบครัวของนายกำพลมอบอำนาจให้ผู้อื่นมายื่นขอความเป็นธรรม และมีอธิบดีอัยการที่รับผิดชอบสำนวนนำคำวินิจฉัยของคำพิพากษาดังกล่าว มาเป็นเหตุในการสั่งไม่ฟ้อง และถอนหมายจับนายธนพล และนางนิภา ลูกกับภรรยาของนายกำพล คงเหลือเเต่นายกำพลคนเดียว ซึ่งเมื่อมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องสำนวนจะถูกส่งไปยังดีเอสไอ เพื่อทำความเห็นแย้ง ซึ่งอธิบดีดีเอสไอในยุคดังกล่าวก็เห็นตามอัยการด้วย และไม่เเย้งความเห็นของอัยการจนทำให้คดีนี้เป็นที่สิ้นสุด
ทำให้นางนิภา กับนายธนพล วิระเทพสุภรณ์ ภรรยา และลูกของนายกำพล กลับเข้ามาในประเทศเพื่อทำธุรกิจอาบอบนวดที่มีการค้ามนุษย์อีกครั้ง และยังพบว่าเชื่อมโยงถึงสารวัตรซัวอีกด้วย โดยมีลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งความผิดที่สั่งไม่ฟ้องในคดีค้ามนุษย์นั้น เป็นความผิดมูลฐานของข้อหาฟอกเงินซึ่งจะส่งผลต่อการยึดทรัพย์ จึงเป็นเหตุให้ตนเองต้องกลับมาพูดเรื่องนี้อีก ซึ่งนายชูวิทย์ยังอ้างว่า คดีนี้มันมีการวิ่งเต้นกันที่ระดับพนักงานอัยการ และยังมองว่ามีการเตี๊ยมกันตั้งแต่ชั้นศาล อัยการ ดีเอสไอ โดยที่ดีเอสไอ ที่ไม่ค้านในสิ่งที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ตนจะไม่ร้องเฉพาะอัยการสูงสุดอย่างแน่นอน เพราะอัยการสูงสุดขี้กลัว แต่คดีนี้เกี่ยวข้องกับอัยการระดับอธิบดี ตนจึงมายื่นหนังสือให้นายพชร ยุติธรรมดำรง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และกรรมการ ก.อ. ทุกท่าน เพื่อสอบการทุจริต รับผลประโยชน์ และยื่นต่ออัยการสูงสุดว่าถูกต้องตามหลักกฎหมาย และเหตุผลหรือไม่ พร้อมทั้งตั้งคำถามว่าทำไมอัยการรีบไปถอนหมายจับ ซึ่งตนจะเป็นหน่วยพลีชีพเล่นเรื่องนี้ตราบเท่าที่มีชีวิต และจะไปร้องที่ สำนักงาน ปปง.เพื่อขอให้ทำการอายัด เพราะมีการวิ่งเต้นไม่ให้มีการอายัดมาก่อน เช่น สถานที่ 4 แห่ง แต่ยึดเพียงบางแห่ง เสมือนว่าจะมีการเลือกยึดหรือไม่ยึดก็ได้
นายชูวิทย์ ระบุต่อว่า เมื่อมีการสั่งไม่ฟ้อง ตามหลักเกณฑ์ทางคดีอาญานั้น ทางดีเอสไอ ไม่มีความเห็นแย้งไปทางอัยการ จากการสั่งไม่ฟ้อง คดีจะถึงที่สิ้นสุด เว้นแต่จะมีพยานหลักฐานชิ้นใหม่ ที่จะทำให้รื้อคดีได้ ซึ่งวันนี้ตนจึงนำพยานหลักฐานชิ้นใหม่ คือ คำพิพากษาของศาลชั้นอุทธรณ์ เพราะคำพิพากษาของศาลชั้นอุทธรณ์แย้งกับศาลชั้นต้น จึงนำหลักฐานดังกล่าวมามอบให้อัยการสูงสุดกับทางอัยการสูงสุดอีกด้วย
ด้านนายธรัมพ์ ผู้ตรวจการอัยการ กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนจากทุกเรื่องที่นายชูวิทย์มาร้องเรียน และยืนยันว่าถึงมือประธานคณะกรรมการ และเข้าหน้าที่ทุกท่านอย่างแน่นอน ซึ่งตนอยู่สถาบันอัยการมานาน 35 ปี ยินดีทำให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ตามนโยบายของอัยการสูงสุด โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4-5 ปี และเท่าที่ไปดูคำสั่งฟ้องยังคงเหมือนเดิม นายกำพลยังสั่งไม่ฟ้องอยู่ ส่วนจำเลยอื่นๆ ก็ถูกสั่งฟ้อง และถูกคุมขัง และในทางอาญาหากจะสั่งฟ้อง ก็ต้องมีตัวผู้ถูกฟ้องมาด้วย
อย่างไรก็ตาม คงต้องไปตรวจสอบอีกครั้งว่ารายละเอียดเป็นมาอย่างไร ส่วนอัยการที่เกษียณไปแล้ว และพบว่ามีความเกี่ยวข้องในคดีนี้ ก็ต้องไปดูอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง ยืนยันว่าจะรับเรื่องนี้ไว้ และติดตามผลอย่างต่อเนื่องอย่างตรงไปตรงมา ให้ข้อครหาข้อสงสัยในเรื่องนี้ได้คลี่คลาย และเกิดความโปร่งใสมากที่สุด













