POLITICS

‘พรรคร่วมฝ่ายค้าน’ ขอ ปชช.ให้บทเรียน ‘ประยุทธ์’ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

‘พรรคร่วมฝ่ายค้าน’ ร่วมกันออกแถลงการณ์ ยอมรับคำวินิจฉัยศาล พร้อมขอให้ประชาชนให้บทเรียน ‘ประยุทธ์’ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ย้ำ จะต้องไม่สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงหรือความขัดแย้งในสังคม

วันนี้ (30 ก.ย. 65) ที่อาคารรัฐสภา ห้องประชุมวิปฝ่ายค้าน สภาผู้แทนราษฎร พรรคฝ่ายค้านร่วมฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคต่างๆ ฟังคำตัดสินด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต่างจากช่วงแรกที่มีท่าทีผ่อนคลาย

โดยทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนชาวไทย และพรรคประชาชาติ ได้หารือกันถึงการออกคำแถลงการณ์ต่อการวินิจฉัยของศาล โดยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง

โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวระหว่างการหารือกันว่า “ไม่พ้นเราก็ยิ้มได้ เราก็ทำหน้าที่ตรวจสอบของเราต่อไป และเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” หลังจากนั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านได้อ่านคำแถลง ใจความระบุว่า

ในนามของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยอมรับคำวินิจฉัยและน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158 วรรคสี่ จากกรณี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดำรงตำแหน่งมาแล้วครบ 8 ปี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 โดยให้เหตุผลสรุปว่า การดำรงตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับนั้น

พรรคร่วมฝ่ายค้านยอมรับคำวินิจฉัยของศาล และขอแถลงการณ์ พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นพ้องต้องกันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีความคลาดเคลื่อนในข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผล ดังนี้

  1. การพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้น นอกจากจะต้องหาความหมายจากถ้อยคำตามลายลักษณ์อักษรแล้ว ต้องพิจารณาจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย โดยต้องพิจารณาในขณะเมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่าได้มีการพิจารณาถึงสาระสำคัญหรือเหตุผลเบื้องหลังของแต่ละมาตราไว้อย่างไร เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามความเห็นของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงไปตามความคิดและความรู้สึกของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในแต่ละช่วงเวลาได้

เมื่อในชั้นร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่ ที่ห้ามการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี โดยมิได้บัญญัติข้อยกเว้นใดๆ ไว้ ได้มีความเห็นของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปรากฏชัดในบันทึกการประชุม อันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่า ให้นับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ดำรงอยู่ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย และมาตรา 264 ให้นับความเป็นนายกรัฐมนตรีต่อเนื่อง จึงไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่นได้เลยว่า การนับระยะเวลาการดำรง
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม
2557 เป็นต้นไปเท่านั้น

  1. การวินิจฉัยให้เริ่มนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2560 อันเป็นวันที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีผลใช้บังคับนั้น จะทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังมีสิทธิดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังครบวาระในครั้งนี้แล้วอีก 2 ปี จนถึงปี 2568 นั้น น่าจะเป็นการตีความที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญตามที่ประชาชนเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว เพราะจะส่งผลให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถดำรงตำแหน่งได้รวม
    ซึ่งเกินกว่า 4 ปี และเกินกว่า 2 วาระ ปกติของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันผิดไปจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 และรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าที่ต้องการจำกัดวาระและระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมิให้เกิน 2 วาระ หรือเกินกว่า 8 ปี และยังขัดต่อการรับรู้ทั่วไปของประชาชนและขัดต่อข้อเท็จจริงว่า

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ซึ่งการตีความในลักษณะนี้ จะมีผลแปลกประหลาดคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในวันที่ 6 เมษายน 2560 ที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ ระยะเวลา 8 ปี ก่อนวันที่ 6 เมษายน 2560 กลับไม่นำมานับ แต่หลังจาก วันที่ 6 เมษายน 2560 กลับนำมานับ ทั้งๆ ที่มี ประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีฉบับเดียวกัน

ในชั้นเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2557 แม้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่ได้เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 158 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ตาม แต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ได้บัญญัติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้ให้ความเห็นชอบให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีนี้จึงถือว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมเป็นนายกรัฐมนตรี ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 264

3.เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกอ้างความชอบธรรมจากผู้มีอำนาจบ่อยครั้งว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและผ่านการลงประชามติของประชาชน การตีความให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อยู่ในตำแหน่งเป็น 8 ปีได้ นอกจากขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้วยังขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยด้วย อันถือเป็นการทำลายรากฐานของระบอบประชาธิปไตยอย่างมีนัยสำคัญเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการผูกขาดการใช้อำนาจ

  1. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญแต่การวินิจฉัยที่ส่อว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเสียเอง ย่อมเป็นการทำลายคุณค่าความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ แม้ผลคำวินิจฉัยจะทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ประโยชน์ แต่ก็จะเป็นการทำลายบรรทัดฐานทางกฎหมายและอาจนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งที่ใหญ่หลวงในสังคม และเกิดการไม่ยอมรับในผลของคำวินิจฉัยได้
  2. พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรมีการปฏิรูปกระบวนการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเสียใหม่ ให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม เพื่อมิให้มีการอาศัยผลของคำวินิจฉัยที่ผูกพันทุกองค์กร ไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมและไม่คำนึงถึงบรรทัดฐานทางกฎหมายที่ถูกต้องได้ พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่าแม้ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีสิทธิดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคงมิใช่เป็นการฟอกขาวให้แก่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยประการใดๆ

พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่าภาพจำของประชาชนที่มีต่อตัวนายกรัฐมนตรีคือ ผู้ที่พยายามจะสืบทอดอำนาจทุกวิถีทางเท่าที่จะหาวิธีทำให้ได้ ผู้ที่ผิดสัญญากับประชาชนมาตั้งแต่ต้นที่ทำรัฐประหารว่าจะอยู่ไม่นาน ผู้ที่ผิดสัญญากับประชาชนในการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ จนทำให้ประเทศไทยตกขบวนลดชั้นลงไปจากผู้นำในอาเซียน การที่จะอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้อยู่ในอำนาจได้ต่อไป จึงมีแต่ความว่างเปล่าในสายตาของประชาชน และขอให้พี่น้องประชาชนได้ให้บทเรียนกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการ
เลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย

แนวทางหลังจากนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านจะมีบทบาทมุ่งทำหน้าที่ที่เหลืออยู่ของสภาให้ดีที่สุด ส่วนการให้ข้อเสนอแนะหรือข้อท้วงติงต่างๆ ฝ่ายค้านมีวาระในการประชุมร่วมกันอยู่แล้วทุกสัปดาห์ ก็จะนำประเด็นต่างๆมาปรึกษาหารือและเสนอไปยังรัฐบาล โดยใช้กลไกของฝ่ายค้าน ที่สำคัญช่วงนี้ฝ่ายค้านมีการหารือกันว่าจะขอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป แบบไม่ลงมติ เป็นการเสนอปัญหาและข้อเท็จจริงต่อคณะรัฐมนตรีในช่วงเปิดสมัยประชุม

นายแพทย์ชลน่าน ยังประเมินว่า สถานการณ์หลังจากนี้ว่าน่าเป็นห่วง เนื่องจากสิ่งที่พรรคร่วมฝ่ายค้านให้เหตุผลในคำร้องต่อการสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปีของพลเอกประยุทธ์ เป็นเพราะคิดว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ เปรียบเสมือนพายุโนรูเข้าประเทศไทย ที่ไม่มีทางออก

“พายุไม่มี Rule ก็คือ โนรูเข้า แต่ประเทศเราไร้ทางออกนะครับ No Rule เช่นกันครับ R-U-L-E ซึ่งตรงนี้เองก็จะเป็นสิ่งที่เรามีข้อห่วงใยและข้อกังวลมากนะครับ เท่าที่ฟังเสียงส่วนใหญ่พี่น้องประชาชนมีข้อวินิจฉัยส่วนตัวกันไว้หมดแล้ว ว่าออกแนวนี้ เขาจะมีข้อเรียกร้อง ข้อเสนออย่างไร อยากให้ฝ่ายบริหาร พลเอกประยุทธ์รับฟังข้อเรียกร้องของพี่น้องประชาชน ภายใต้การดูแลความสงบเรียบร้อย ที่ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชน”

นพ.ชลน่าน ย้ำทิ้งท้ายว่า จะต้องไม่สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงหรือความขัดแย้งในสังคม

Related Posts

Send this to a friend