’มหาดไทย‘ นำทีม อุตสาหกรรม – อว. – ดีอี ลงนาม MOU ฝุ่น PM 2.5
มุ่งเน้นมาตรการเชิงรุกในระดับพื้นที่ บังคับใช้กฎหมายเข้มข้น คืนอากาศสะอาดให้ประชาชนอย่างยั่งยืน
วันนี้ (25 ธ.ค. 68) เวลา 11.30 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) โดย นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยาน โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมลงนาม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตลอดช่วงปีที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 เราได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการกวดขันเรื่องการเผาพืชผลทางการเกษตร และการลดมลภาวะในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยปัจจัยแวดล้อมหลายประการ ทั้งการเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพความกดอากาศต่ำ รวมถึงปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน ล้วนส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ดังนั้น เราจึงมีความจำเป็นต้องเร่งหาแนวทางลดปัญหาฝุ่นควัน ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาวะทางเดินหายใจของประชาชน ตนได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมยกระดับมาตรการควบคุมการเผาเศษซากทางการเกษตร ซึ่งผลลัพธ์ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม โดยสถิติการเผาและปริมาณฝุ่นควันลดลงอย่างชัดเจน
“ในวันนี้ เราทุกคนมารวมตัวกันเพื่อแสดงให้ทุกภาคส่วนได้ประจักษ์ถึงความมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายสีเขียวของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความห่วงใยในสุขภาพของพี่น้องประชาชน ซึ่งตนพร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มาร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนการดำเนินงานในเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง และขอขอบคุณคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ที่กรุณานำนโยบายของรัฐบาลไปแปรสู่การปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง ตลอดจนขอทุกท่านที่มุ่งมั่นตั้งใจทำให้เป็นไปตามสโลแกน รวมพลังคืนอากาศบริสุทธิ์ให้พี่น้องชาวไทย “อากาศดี ตลอดปีใหม่” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่ออีกว่า สิ่งที่เราได้ทำสำเร็จมาแล้ว เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของเรา จากนี้ไปเราจะต้อง “พลัส” และผนึกกำลังทุกหน่วยงานที่มีอยู่เพื่อยกระดับการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในอนาคตจะมีการบูรณาการความร่วมมือเพิ่มเติมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ทั้งนี้ ขอขอบคุณผู้บริหารทั้ง 4 หน่วยงานในวันนี้ ที่ตั้งใจขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อสร้างอากาศที่ดี มอบเป็นของขวัญให้ประชาชนตลอดเทศกาลปีใหม่ ปีใหม่จีน จนถึงปีใหม่ไทย”
ด้าน นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จากการเผาอ้อยส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานที่มีกลไกในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ ทั้งระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
“กระทรวงมหาดไทยได้ใช้กลไกของกรมการปกครอง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หน่วยงานราชการระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยกำชับให้จังหวัดต่าง ๆ ควบคุมการเผาอ้อยอย่างเข้มงวด บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง และดำเนินมาตรการปราบปรามการลักลอบเผาอย่างเด็ดขาด ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ชุมชนและเกษตรกรชาวไร่อ้อย ให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผ่านการบูรณาการการทำงานในทุกระดับ ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้นำท้องที่ และผู้นำท้องถิ่น” นายอรรษิษฐ์ กล่าว
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มีความมุ่งมั่นขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำกับดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด พร้อมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเผาอ้อย ส่งเสริมการเก็บเกี่ยวอ้อยสดและการนำใบและยอดอ้อยไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย
ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า กระทรวง อว. โดย GISTDA มีความพร้อมในการนำเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศและข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่ปลูกอ้อยและอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ การจัดทำแผนที่ การติดตามสถานการณ์ด้วยระบบตรวจจับจุดความร้อน รวมถึงการคาดการณ์ผลผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการกำหนดนโยบายภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังและติดตามการเผาอ้อยแบบเรียลไทม์ โดยใช้ข้อมูลดาวเทียมความละเอียดสูง เพื่อระบุจุดเผาไหม้ที่มีความเสี่ยงและคาดการณ์การแพร่กระจายของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เพื่อนำข้อมูลไปใช้สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมาย และการควบคุมกำกับดูแลการเผาอ้อยของเกษตรกรและโรงงานน้ำตาล
นายพชร อนันตศิลป์ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มุ่งพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลด้านอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างเป็นระบบ สนับสนุนการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ การติดตามแนวโน้มการเผาอ้อย และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมส่งเสริมการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่บูรณาการข้อมูลจากทุกหน่วยงาน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครื่องมือดิจิทัลที่รองรับการใช้เทคโนโลยี AI อย่างยั่งยืน
สำหรับการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อย ผ่านการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย เชิงพื้นที่ และเชิงเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ โดยการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการทำงาน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน รวมถึงกลไกการประสานความร่วมมือในระดับพื้นที่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาการเผาอ้อยและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ของประเทศไทย เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม












