‘กัณวีร์‘ เผย พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งส่งผู้สมัคร 90 เขตทั่วประเทศ
ชี้ ต้องสร้างสะพานโอกาสให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงสวัสดิการ – กระจายทุน ย้ำจุดยืนสร้างสันติภาพชายแดนใต้ ชี้ ทุกประเทศติดไทยถูกรัฐละเลย ต้องกระจายอำนาจปกครองตัวเอง เสนอ การทูตเชิงรุก แสดงบทบาทผู้นำในเวทีโลก ดึง กัมพูชาจากเวทีทวิภาคี มาพูดคุยต่อในพหุภาคี
วันนี้ (23 ธ.ค. 68) นายกัณวีร์ สืบแสง หัวหน้าพรรคพลวัต ให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการสู้ศึกเลือกตั้ง ว่า เราพร้อมเต็มที่ในการเสนอตัวเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นพรรคใหม่ และดูเป็นพรรคเล็ก แต่เราจะเสนอเข้าไปทั้งหมด 90 เขต จาก 25 จังหวัด และจะทำอย่างเต็มที่ ทุกอย่างพร้อมแล้วและในวันที่ 27 ธ.ค. นี้จะให้ทางผู้สมัคร สส. เขต เดินหน้าลงไปสมัคร
นายกัณวีร์ กล่าวถึงจุดเด่นของพรรคว่า ตนเองเชื่อมั่นว่าพรรคการเมืองอยู่ในระบอบประชาธิปไตย โดยเราเน้นเรื่องสังคมนิยมประชาธิปไตย และมองเห็นว่า เรื่องการกระจายทุนไปสู่คน อย่างที่หลายพรรคการเมืองทำในเชิงนโยบาย ให้กับพี่น้องประชาชนไปกระจุกตัวสู่นายทุนเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น สำหรับโครงสร้างรัฐสวัสดิการที่มีหลายพรรคการเมืองนำเสนอให้ สามารถทำได้ ปฏิบัติจริงได้ จึงเป็นการใช้งบประมาณมากกว่า ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายการใช้งบประมาณของรัฐสวัสดิการ เราจะหารายได้มาจากไหน ดังนั้น หากเราจะเสนอเรื่องการหารายได้มากกว่าการใช้งบประมาณ โดยเฉพาะการใช้พื้นที่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเศรษฐกิจชุมชน ในการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน และยิ่งไปกว่านั้น เราจะสร้างตาข่ายรองรับเพื่อความปลอดภัย เพราะเราใช้นโยบายต่าง ๆ ในเรื่องสิทธิมนุษยชน คนที่ตกหล่นลงมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระจายรายได้ รัฐสวัสดิการที่เข้าไม่ถึงจะเข้ามาสู่สิทธิมนุษยชน ดังนั้น พรรคพลวัตจะสร้างการเข้าถึงอย่างมีความหมายการเข้าถึงโอกาสต่าง ๆ เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติสร้างกฎหมายมาแล้ว แต่ขาดอย่างเดียวคือการสร้างสะพานให้เข้าถึงโอกาสนั้น เราจะเสนอการเข้าถึงโอกาสต่าง ๆ โดยเฉพาะในการสร้างหลักการที่เราสร้างไว้หกเสาหลัก
ดังนั้น เรามีความแตกต่างในเรื่องการนำผู้ปฎิบัติจริงที่เคยทำงานมาแล้วทั้งฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายการต่างประเทศ เรื่องการพัฒนาชุมชน นักสิทธิมนุษยชน นักกฎหมาย ที่ทำงานกับกลุ่มเปราะบางที่ถูกเพิกเฉย พี่น้องแรงงานอิสระ และนอกระบบตามแพลตฟอร์มต่างๆ ตนเองอยู่ในสภามา มีการพูดคุยเรื่องนี้ แต่ยังทำไม่ได้จริง มันขาดอะไรไป แม้เราจะมีเจตจำนงทางการเมือง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เรามีความแตกต่างตรงนี้ในการที่เราทำงานกับฐานรากของสังคม และจะทำให้สามารถเชื่อมต่อการกระจายทุนและเรื่องรัฐสวัสดิการ
นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า เรายังคงเน้นย้ำในเรื่องเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือปาตานี ตนเองยังยืนยัน และยึดมั่นในในอุดมการณ์นี้ ไม่เคยลืมเรื่องอุดมการ เรื่องจังหวัดจัดการตนเองก็ยังคงอยู่ และครั้งนี้จะขยายตัวมากกว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะกระจายตัวไปถึง 31 จังหวัดชายแดน และ 23 เขต ติดชายฝั่งเพราะเราเห็นว่าปัญหาชายแดน เป็นสิ่งที่กระทบต่อประเทศไทยอย่างมาก พี่น้องคนไทยที่ติดกับฝั่งเมียนมา กัมพูชา มาเลเซีย และลาว มีปัญหาทั้งหมด แต่บริเวณนั้นถูกละเลยจากรัฐ และส่วนกลาง ทำให้เกิดปัญหา ดังนั้น ไม่ใช่แค่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะรวมไปถึงจังหวัดที่ติดกับประเทศอื่นด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะเข้าไปสู่นโยบายที่เราจะนำเสนอให้กับประชาชนรับทราบโดยเฉพาะเรื่องชายแดน
ส่วนเรื่องปัญหาสแกมเมอร์ และการค้ามนุษย์ เราชัดเจนเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ เราจะไม่มองเพียงแค่ปัญหาสแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ แต่มองพวกนี้ว่าเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เรามององคาพยพที่เหนือไปกว่าที่เราพยามพูด มองขบวนการนำพา ขบวนการค้ามนุษย์ เพราะสแกมเมอร์ หรือคอลเซ็นเตอร์ จะไม่สามารถปฏิบัติการจริงได้ ถ้าขาดกำลังพล เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ที่เราพยามแก้ไขปัญหาตัดนู่นนี่นั่น แต่ลืมตัดเรื่องคนที่จะเข้าไปทำงาน ในพื้นที่คอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์จึงไม่สามารถตัดจริงได้
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องคือเรื่องเส้นทางเงิน เรามองสโคปสั้นไป ประเทศไทยที่เราพยามแก้ไข เรามองแค่ในขอบเขตประเทศไทย ตอนนี้เราพูดกันหลากหลายว่าคนไหนเป็นหัวหน้า เรายังจับไม่ได้ แต่ตนเองเชื่อว่ามีหัวหน้าที่ใหญ่กว่านั้น ดังนั้น หนึ่งองคาพยพในระหว่างเวทีระหว่างประเทศ ต้องดึงเวทีโลกเข้ามาเกี่ยวข้องทางองค์การสหประชาชาติ ประเทศที่เกี่ยวข้องเรายังไม่สามารถ เรายังพยายามไม่เต็มที่ในการดึงองคาพยพต่าง ๆ เหล่านี้เข้ามาต้องมีการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่า และต้องครอบคลุมเรายังมองฉากทัศน์ในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่ในระยะเฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาว
นายกัณวีร์ กล่าวถึงปัญหามลพิษข้ามแดนว่า หนึ่งในหกเสาหลักสิทธิของเรา คือเรื่องการคุ้มครองเพิ่มความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของคนไทย จากผลกระทบข้ามแดน ดังนั้น หนึ่งในเสาหลักนี้คือมลพิษข้ามแดน ที่มาจากการทำแร่แรเอิร์ธที่มีผลกระทบจากพี่น้องบริเวณแม่น้ำกก แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง เป็นหนึ่งในนโยบายของพรรคพลวัตที่จะทำงานกับภาคประชาสังคม และผลักดันกับฝ่ายบริหารให้ได้ จะมองปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาภายในประเทศไม่ได้ มันเป็นปัญหานอกประเทศ ดังนั้น จะทำอย่างไรในการแก้ไขปัญหา ต้องเปลี่ยนจุดยืนด้านการทูต การต่างประเทศ จากการเป็นไผ่ลู่ลม การทูตแบบเงียบ ๆ ต้องเปลี่ยนแปลงให้เป็นการทูตสร้างสรรค์ ประเทศไทยต้องเปลี่ยนแปลงจุดยืนด้านการทูตโดยเร็ว มิฉะนั้น จะแก้ไม่ได้ การทูตเราคงที่ประมาณ 145 ปี เราจะทำอย่างไรในการผลักดันให้ประเทศเรามีบทบาทการเป็นผู้นำ การแก้แก้ไขปัญหาโดยใช้องคาพยพของเวทีระหว่างประเทศทางด้านการทูตเชิงรุกจำเป็นจริง ๆ
สำหรับข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาที่เกิดการปะทะกันอยู่ในขณะนี้ ตนเองมองว่าการแก้ไขปัญหาตรงนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขปัญหาในเวทีระหว่างประเทศ แต่ตนเองมองว่าสุดท้ายต้องใช้ทวิภาคี ตนเองยืนยันและเน้นย้ำมาตลอดเวลาว่าต้องใช้ทวิภาคี ดึงความร่วมมือระหว่างไทยกัมพูชาออกมาการจบการพูดคุยการเจรจาได้ ต้องใช้สองประเทศนี้ แต่การพูดคุยทวิภาคีต้องไปพูดคุยในเวทีพหุภาคี เป็นการคิดนอกกรอบในระหว่างเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ต้องให้มีผู้สังเกตการณ์อย่างแท้จริง ประเทศไทยต้องทำอย่างไรก็ได้ให้กัมพูชายอมไปนั่งคุยระหว่างทวิภาคี กับปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบ ยกตัวอย่างกรอบความร่วมมืออื่น ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบข้ามแดน เรื่องมลพิษ เราพูดคุยว่ากัมพูชาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ในเรื่องเมืองดังนั้นเราพูดคุยกันได้หรือไม่ต้องใช้ศิลปะในความคิดเรื่องต่าง ๆ ของความร่วมมือ เป็นพื้นที่ให้กับประเทศไทยและกัมพูชาพูดคุยกันและจบปัญหา
เมื่อวานนี้เพิ่งมีผลประชุมของอาเซียน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอาเซียนไปพูดคุยกัน สุดท้ายก็กลับมาที่การประชุมทวิภาคี คือ จีบีซี ยืนยันว่า เราต้องใช้กรอบทวิภาคี อย่างอนุสัญญาออตตาวา ดังนั้น หากสามารถนำสองประเทศไปพูดคุยได้ จะมีคณะทำงานไปพูดคุย และจะมีผลกระทบต่อกัมพูชา ต่อไทย กัมพูชาจะถูกถามจากผู้สังเกตการณ์ว่าทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่หรือไม่ ซึ่งต้องตอบให้ผู้สังเกตการณ์เช่นกัน แต่ถ้าเรามานั่งคุยกันสองประเทศเท่านั้น จะไม่มีคนถาม กัมพูชาได้รับการสนับสนุนเรื่องงบประมาณในการกำจัดทุ่นระเบิด ประเทศผู้บริจาคต่าง ๆ ไม่เคยตั้งคำถามกับกัมพูชาว่าวัตถุระเบิดไปวางใหม่หรือไม่ ดังนั้น เราเอาตัวเราเองไปพูดคุยต่อหน้าพวกเขา
กรอบเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ทางนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ก็ต้องดึงตัวเราเองไปพูดคุย สุดท้ายรัฐบาลที่ผ่านมา ตนเองไม่เห็นเลยว่ามีความพยายามในการใช้การเจรจาพูดคุยทวิภาคี แล้วจากทวิภาคี ไปใส่ในกรอบภาคีต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับกัมพูชา เราไม่เคยทำอะไรเลยได้แต่วิ่งตามสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ ขอแค่พูดคุยมีประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประธานอาเซียน ให้มาเป็นคนที่ที่นั่งขู่พวกเรา มันไม่พอ เราต้องกล้าแสดงออกถึงบทบาทความเป็นผู้นำ ในเวทีระหว่างประเทศ โดยดึงกัมพูชาออกมา แล้วนั่งพูดคุยแบบเปิดอก จะทำให้เวทีโลกเห็นถึงความเป็นผู้นำของเรา และจะนำมาสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สถานการณ์ขณะนี้ ยังเกิดการปะทะกันอยู่ เราก็ต้องใช้กฎการปะทะให้ได้สัดส่วน เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ตนเองว่าไทยทำดีแล้วในเรื่องของการทหาร การเลือกอพยพ ดูแลพิทักษ์ส่วนหลัง ตนเองว่าเราใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพดูแลผู้อพยพ แต่ถ้าระยะเวลาที่ยาวนานกว่านี้ ตนเองห่วงผลกระทบระยะยาว ดังนั้น ต้องเริ่มใช้วิสัยทัศน์ในการเปลี่ยนกรอบกระบวนทัศน์ทางด้านความคิดของเรา ใช้ทวิภาคีไปคุยในพหุภาคีให้ได้












