POLITICS

‘ณัฐพงษ์‘ ขอที่ประชุมร่วมรัฐสภา ตัดอำนาจเสียง สว. 1 ใน 3 ชี้ หากไม่เห็นด้วย คงยอมให้ไปถึงวาระ 3 ไม่ได้

‘ณัฐพงษ์‘ ขอที่ประชุมร่วมรัฐสภา ตัดอำนาจเสียง สว. 1 ใน 3 ชี้ หากไม่เห็นด้วย คงยอมให้ไปถึงวาระ 3 ไม่ได้ เรียกร้อง นายกฯ ต้องยุบสภา ซัด ที่ผ่านมามีความจริงใจจริงหรือไม่ ขณะที่ ลงมติ คะแนนห่างไม่เกิน 30 คะแนน ทำให้มีการเสนอลงมติแบบขานชื่อ

วันนี้ (11 ธ.ค. 68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วาระร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช …. ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เมื่อพิจารณาถึงมาตรา 256/28 ว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ร่วมอภิปรายว่า ตนเองขออภิปรายถึงเพื่อนบางส่วน โดยเฉพาะเพื่อนสมาชิกของพรรคภูมิใจไทย ตามที่ได้ฟังการสะท้อนความคิดเห็นของ นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ที่เปิดประเด็นเอาไว้ ถึงกระบวนการจะธรรมนูญฉบับใหม่ ว่าเป็นรัฐธรรมนูญแบบที่เพ้อฝัน กับรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้จริง พวกเราเดินมาถึงกระบวนการในมาตรา 256 / 28 ในการคงไว้ซึ่งเสียง สว. 1 ใน 3 ว่าจะมีส่วนในการเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ พวกเราทราบดีว่าในเรื่องการแก้ไขที่เป็นจริงนั้นการตัดสิน สว. 1 ใน 3 ออก จะเป็นเงื่อนไขที่สำคัญ ทุกคนทราบดี รวมถึงพรรคประชาชนเอง ได้ทำเอ็มโอเอกับพรรคภูมิใจไทย เพราะพวกเราเองเชื่อว่า ท่านเองน่าจะมีพลังในการโน้มน้าวสมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ให้เห็นชอบกับการจัดทำธรรมนูญฉบับใหม่ได้ ดังที่เราเห็นผลสำเร็จมาแล้วในชั้นวาระที่หนึ่ง ที่ต้องอาศัยสิน สว. 1 ใน 3 เช่นเดียวกัน

ดังนั้น เรื่องข้อถกเถียงระหว่างรัฐธรรมนูญฉบับเพ้อฝันที่ต้องทำให้เป็นจริงได้นั้น ตนเองคิดว่าเราเห็นตรงกัน เราพยายามทำขบวนการที่เป็นจริงที่สุด ทำอย่างไรที่จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า นายกรวีร์ ได้พูดไว้ว่าพรรคภูมิใจไทย รักษาคำพูด พูดแล้วทำ ตนเองเห็นด้วยในกระบวนการที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับว่ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามเอ็มโอเอนั้น ท่านก็มีส่วนสำคัญในการช่วยผลักดัน และประคับประคอง แต่สิ่งหนึ่งที่การลงมติในวันนี้ที่เป็นจุดสำคัญคำว่าพูด และความพยายามอย่างเต็มที่ในการทำให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นจริงนั้น เชื่อได้หรือไม่ ตนเองได้ฟังการให้เหตุผลของเพื่อนสมาชิกว่า หากตัดเสียง สว. 1 ใน 3 ออกอาจจะทำให้กระบวนการในวาระ 3 ไม่เป็นความจริง ก็เลยเป็นเหตุผลที่เพื่อนสมาชิกบางส่วน โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยจะให้ว่า ไม่งั้นจะเดินต่อไม่ได้ ตนเองจึงขอตั้งคำถามแบบนี้ว่า ถ้าในส่วนของพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทยในส่วนของพรรคฝ่ายค้าน พวกเราไม่สามารถที่จะยอมรับได้ ถ้าในกระบวนการจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นยังคง สว. 1 ใน 3 ไว้ ถ้าวันนี้เสียงโหวตส่วนใหญ่ในรัฐสภา กลับร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก โดยไปดึงเอาเสียง สว. 1 ใน 3 กลับมา พวกตนเองไม่สามารถยอมรับให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ เดินเข้าสู่วาระที่ 3 ได้จริง ๆ หนีไม่พ้นเป็นอย่างอื่น ถ้าผลโหวตในมาตรานี้กลับมติของรัฐบาล กลับร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก จริง ๆ ในฐานะฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ตนเองต้องร้องขอให้นายกรัฐมนตรี ยุบสภา

ดังนั้น วันนี้เราจะฟังแต่เงื่อนไขของสมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ อยากให้พิจารณาชั่งน้ำหนักดี ๆ ข้อตกลงตามเอ็มโอเอ คำพูดที่บอกว่าพร้อมผลักดันเต็มที่ พูดแล้วทำ เงื่อนไขของพวกเราพรรคฝ่ายค้าน ยอมรับไม่ได้กับเสียง สว. 1 ใน 3 จริงๆ ดังนั้น มีตัวเลือกอะไรในวันนี้ พรรคภูมิใจไทย ถ้าลงมติเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก หรือแม้แต่อย่างน้อยงดออกเสียงเพื่อทำให้มาตรา 256 / 28 ผ่านวาระสองไปก่อน ยังพอมีเวลาช่วยกันทำงาน ตนเองก็ช่วยกันทำงานโน้มน้าวสมาชิกวุฒิสภาอีกหลายส่วนให้เห็นชอบในวาระที่สาม แต่ถ้าวันนี้จะด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม ถ้าออกมาประกาศเงื่อนไขว่าเรายอมรับไม่ได้ แล้ว หากยืนยันว่าจะเอากลับมาอีก ตนเองก็เชื่อไม่ได้จริง ๆ ว่าท่านอยากให้กระบวนการการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เราทำงานหน้าบ้าน หลังบ้าน ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน ในข้อตกลงของเอ็มโอเอ แต่ในส่วนการโหวตวันนี้ ทั้งที่มีมติมีรัฐบาลออกมาแล้ว มีมติกรรมาธิการเสียงข้างมากออกมาแบบนี้แล้วนั้น แล้วอยู่ดี ๆ จะมีการกลับโหวตแบบนี้ในสภา ตนเองก็ไม่สามารถยอมรับให้ เข้าสู่วาระที่สามได้จริงๆ

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า การเสนอญัตติเพื่อขอให้มีการจัดทำประชามติครั้งที่หนึ่ง อย่างน้อย ๆ ผลโหวตนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม จะเข้าสู่ในวาระสามได้หรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยการทำประชามติครั้งที่หนึ่ง ก็ควรเดินหน้าไปพร้อมกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้

ต่อมา เวลา 19.35 น. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับการแก้ไขของกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ในมาตรา 256/28 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 290 เสียง คะแนนเสียงไม่เห็นชอบ 312 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง

แต่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เสนอให้นับคะแนนใหม่ตามข้อบังคับที่ 58 เนื่องจากคะแนนห่างกันไม่เกิน 30 คะแนน ซึ่งในการนับคะแนนครั้งใหม่ต้องใช้วิธีการขานชื่อเป็นรายบุคคล

ทำให้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น ระบุว่า การนับคะแนนแบบขานชื่ออาจใช้เวลาไม่น้อย แต่ในเมื่อมีผู้เสนอ และมีผู้รับรองถูกต้อง จึงขอให้ทั้ง 3 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ สว. ส่งตัวแทนเป็นคณะกรรมการตรวจนับคะแนนฝ่ายละ 2 คน

Related Posts

Send this to a friend