นายกฯ เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพ อสม. สู่สาธารณสุขยุคพัฒนา หวัง เป็นสมาร์ท อสม.
นายกรัฐมนตรี เปิดงาน โครงการ ”พัฒนาศักยภาพ อสม. สู่สาธารณสุขยุคพัฒนา“ หวัง เป็นสมาร์ท อสม. ใช้เทคโนโลยีช่วยดูแลประชาชน ชี้ รัฐบาลต้องต่อยอดให้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสุขภาพอนามัย โดยหลักการ “ป้องกันก่อนป่วย”
วันนี้ (21 พ.ย. 68) เวลา 09:30 น. ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สู่สาธารณสุขยุคพัฒนา “อสม. เชื่อมต่อเทคโนโลยีสู่ชุมชน” โดยมีนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งบุคลากรสาธารณสุข และตัวแทน อสม. จากทั่วประเทศเข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดงานว่า วันนี้รู้สึกปลาบปลื้ม และยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มาร่วมงานนี้ ที่สำคัญคือได้มาพบปะพี่น้อง อสม. ที่มีความคุ้นเคยคิดถึงกันมาตลอด โดยงานในวันนี้มีความหมายมาก เพราะสาธารณสุขยุคนี้เป็นยุคพัฒนาจริงๆ บุคลากรมีคุณภาพความรู้ความสามารถ รายล้อมไปด้วยคนที่ตั้งใจจะมาทำงานด้านสาธารณสุข ซึ่งทุกคนที่มาทำงานในยุคนี้ทราบดี ว่าระบบสาธารณสุขไทยจะไปไกลไม่ได้ ถ้าไม่มีฝีพายชั้นดีที่เรียกว่า อสม.
อีกทั้ง ในปัจจุบันเราทำงานด้วยเทคโนโลยีซึ่งถ่ายทอดไปยัง อสม. เพราะถือว่าเป็นหมอคนแรกของพี่น้องประชาชน ต้องมีการปรับเปลี่ยนการให้บริการประชาชนให้เป็นไปตามความทันสมัยของโลก โดยมีเป้าหมายคือทำให้ประชาชนได้รับการบริการอย่างดีที่สุด ปีนี้กระทรวงสาธารณสุขมีความคาดหวังต่ออสม. ด้วยการยกระดับอสม.ธรรมดาให้เป็นสมาร์ท อสม. ซึ่งตนทำงานกับ อสม.มา 4 ปีเต็ม ทราบถึงพิษสงของ อสม.เป็นอย่างดี “ที่บอกว่าพิษสงคือไม่หมู แต่มีความทุ่มเทเสียสละ แต่ถ้าใครก็ตามจะมาทำให้ประชาชนของเขาเจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพไม่ดีเจอพิษ อสม.แน่”

“ผมซ้อมๆ ไว้เดี๋ยวก็เลือกตั้งแล้ว วันนี้ผมเลยมาเจอพี่น้อง อสม. มากันเยอะลิบหูลิบตาไปหมด มาเป็นหมื่นๆ คน ไม่ว่าใครก็ตามเจ๋งหรือเก๋าขนาดไหน เจอคนเป็นหมื่น เหมือนคนที่มานั่งเป็นพวกเดียวกันแล้วต้องพูดต่อหน้าเขาก็สั่นทุกคน ขณะที่ผมพูดกับทุกคนอยากให้รู้ว่าขาผมสั่นขนาดไหน แต่สั่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ และสั่นสู้ทุกครั้งเมื่อเจออสม. เพราะเราเคยเป็นนักรบด้วยกันมาก่อนสมัยโควิด-19 ที่ต้องช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชนมากมาย และไม่ว่าสมัยไหนๆเมื่อได้ไปต่างประเทศ ผมก็หน้าบานเป็นกระด้ง เพราะไม่ว่าที่ไหนก็มีหมอพยาบาลนักวิทยาศาสตร์ แต่ที่เขาไม่มีเหมือนเราคือ อสม.” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้เรามี อสม. ถึง 1 ล้านคน นี่คือสิ่งที่ช่วงที่ประเทศเจอวิกฤตโควิด-19 เราถึงมั่นใจว่าถ้าใช้เครือ อสม. ผนึกกำลังด้านการแพทย์ตลอดจนเทคโนโลยีที่มี พวกเราจะผ่านวิกฤตนั้นไปได้แน่นอน แต่ตอนนั้นพูดอะไรไปคนก็ปรามาส และมีความกังวล แต่สุดท้ายเราก็ผ่านวิกฤตร้ายแรงของโรคไปได้ด้วยดี และทำให้ประเทศไทยมีสถานะเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขอยู่ในลำดับต้นๆของโลก และถ้าให้ตนวัดก็ยกให้เป็นเบอร์หนึ่งในการดูแลพี่น้องประชาชน
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องการต่อยอด อสม. เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสุขภาพอนามัย และพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชนด้วยหลักการ “ป้องกันก่อนป่วย” โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคให้กับพี่น้องในชุมชน สื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านสาธารณสุขให้ประชาชนมีความรู้ ตลอดจนการฝึกอาชีพสร้างความมั่นคงของอสม.ยุคใหม่ ด้วยการเป็นผู้ช่วยแพทย์แผนปัจจุบัน และแผนไทย
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า โครงการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านสุขภาพให้ประชาชนชาวไทย รวมถึงความมั่นคงในชีวิตของ อสม.ทุกคน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้แน่นอน เพราะกลไกระบบสาธารณสุขของไทยมีความเข้มแข็งมาก อาจมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่สุดท้ายผลลัพธ์ไม่เคยทำให้ประชาชนคนไทยผิดหวัง
นายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงท้ายว่า จากนี้สังคมไทยมีความเปลี่ยนแปลง เราต้องดูแลผู้สูงอายุ ตนไม่อยากพูดคำว่าติดเตียง ดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะพูดแล้วเหมือนบั่นทอนพวกเขา วันนี้ศัพท์ที่ตนชอบมากคือคำว่า “ผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน” เราต้องปรับเปลี่ยนสังคมให้สอดคล้องกับสภาวะสังคมผู้สูงอายุ เพราะหนีอย่างไรก็ไม่พ้น ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ และกฎระเบียบของสังคมขึ้นมาใหม่ อย่างที่ตนพูดหลายครั้งเรื่องการขยายการเกษียณอายุ ควบคู่ไปกับการที่ อสม. จะเป็นส่วนสำคัญที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เพื่อทุกคนจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี นอกจากนี้ เราต้องใช้ระบบสาธารณสุขสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศด้วย นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องหันหัวเรือใช้ความเข้มแข็งในสิ่งที่ประเทศมีอยู่ สร้างมูลค่าเพิ่ม และโอกาสให้กับประเทศ













