POLITICS

‘ไทยก้าวใหม่’ จัดเสวนา หาแนวทางฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ อยู่รอดให้ได้ในโลกยุค AI

พรรคไทยก้าวใหม่ จัดเสวนา “ปลดล็อกศักยภาพ ยกระดับ 3 อุตสาหกรรมหลักของไทย” หาแนวทางฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ อยู่รอดให้ได้ในโลกยุค AI

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 พรรคไทยก้าวใหม่ จัดเสวนา ปลดล็อกศักยภาพ ยกระดับ 3 อุตสาหกรรมหลักของไทย (โรงแรม เอสเอ็มอี AI) โดยเชิญ “ตัวจริง” ของวงการธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม เอสเอ็มอี และธุรกิจเอไอ (AI) นายเทียนประสิทธิ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และนายกิตติ พรศิวะกิจ กรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) มาขึ้นเวที ณ ที่ทำการพรรคไทยก้าวใหม่ ถนนวิภาวดี รังสิต เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำธุรกิจ การฝ่าฟันปัญหาทั้งจากการแข่งขันกันเองอย่างดุเดือดบนสถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ และการปรับตัวรับมาตรการ กฎหมาย กฎระเบียบใหม่ ๆ จากภาครัฐ โดยมีนายวราวิช กำภู ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ เป็นผู้ดำเนินการเสวนา และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ประธานพรรคไทยก้าวใหม่ สมาชิกพรรค และผู้สนใจเข้าร่วม และมีการถ่ายทอดสดผ่านเพจพรรคไทยก้าวใหม่

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ กล่าวเปิดการเสวนา ว่า พรรคไทยก้าวใหม่เป็นพรรคการเมืองที่ต้องการสร้างความแตกต่างให้กับการเมืองไทย ประเทศไทยกำลังมีปัญหา จากเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ทำงาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ซบเซาลงอย่างมาก ประเทศไทยเคยเป็นผู้นำในเรื่องธุรกิจท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันกลับไม่สามารถแข่งกับหลายประเทศได้ และยิ่งประเทศใหม่และมีความเจริญทางเศรษฐกิจมากกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือยุโรป ต่างเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แย่งนักท่องเที่ยวจากไทยเพิ่มไปอีก คำถามสำคัญคือจะทำอย่างไร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจึงจะฟื้นกลับขึ้นมาได้

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งไม่มีประเทศไหนจะพัฒนาได้หากยังมีความเหลื่อมล้ำ และต้องใช้ SMEs เข้ามาลดความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยมี SMEs จำนวนมาก แต่ก็ล้มหายจากไปในแต่ละปีจำนวนมากเช่นกัน ทำอย่างไร SMEs ไทยจะกลับมาเข้มแข็งและยั่งยืนได้ และสุดท้าย AI สิ่งที่ไทยไม่รู้ไม่ได้แล้ว อนาคตโลกอยู่ที่ AI ซึ่งเป็นผู้สร้างเศรษฐกิจรุ่นใหม่อย่างแท้จริง

ด้านนายเทียนประสิทธิ นายกสมาคมโรงแรมไทย ผู้ร่วมเสวนา ได้นำเสนอว่า ปัญหาการท่องเที่ยวไทยวิกฤติเพราะนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนห่วงเรื่องความปลอดภัย การแกปัญหาต้องเริ่มจากการบังคับใช้กฎหมาย ต้องเข้มงวดในเรื่องรักษาความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยว เทียบกับประเทศจีน ได้มีการยกระดับเรื่องการบังคับใช้กฎหมายไปมากแล้ว นักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัย ส่วนเวียดนามที่กำลังเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย เชื่อว่า การท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์จะยังสูงต่อไปอีกระยะ แต่เวียดนามก็กำลังเจอปัญหาแบบเดียวกับที่ไทยเคยโดน คือ ระบบทัวร์ศูนย์เหรียญจากจีน

จุดแข็งของไทย คือ แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นวัฒนธรรมแท้ ๆ ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวที่สร้างขึ้นเองเหมือนเวียดนาม ขณะเดียวกัน ไทยก็ยังสร้างจุดแหล่งเที่ยวที่สร้างเองได้ อยู่ที่ว่าเราจะลงทุนหรือไม่ การบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวอย่างที่ดีของความสับสนของการออกกฎหมายและส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เพราะมีข้อบังคับที่ซ้ำซ้อนกันหลายเรื่อง ทั้งอายุขั้นต่ำของผู้ซื้อ เวลาจำหน่าย และสถานที่จำหน่าย ทำให้นักท่องเที่ยวสับสน และขาดโอกาสในการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ขณะ ดร.ณพพงศ์ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า เรามี SMEs มากกว่า 3 ล้านรายในประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผู้ด้อยโอกาส ที่ผ่านมามีกฎหมายเกี่ยวกับการเพิ่มวันลาของลูกจ้าง ที่จะสร้างผลกระทบต่อนายจ้าง เพราะเมื่อคำนวณตามกฎหมายใหม่แล้ว จะเหลือวันทำงานเพียง 40 เปอร์เซนต์เท่านั้น แต่ขั้นตอนกระบวนการทำออกกฎหมายฉบับนี้ ไม่รับฟังกลุ่ม SMEs เลย เคยขอเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นต่อก็ถูกปฎิเสธ ให้เพียงทำหนังสือชี้แจงไปเท่านั้น

ผู้ประกอบการ SMEs ไม่ขัดข้องที่จะให้ลูกจ้างมีวันลาเพิ่ม แต่ SMEs มีลูกจ้างไม่มาก ถ้าต้องใช้กฎเกณฑ์เดียวกับผู้ประกอบการรายใหญ่ SMEs ก็ลำบาก ปัญหาหนักสุดของ SMEs คือการหาแหล่งเงินทุน ถ้ามีช่องทางให้ SMEs เข้าหาแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น จะช่วยได้มาก แต่ต้องไม่ติดเงื่อนไขทางกฎหมายมากมาย เพราะที่ผ่านมา การฟื้นฟู SMEs ล้มเหลวเพราะติดข้อกฎหมาย

การขออนุญาต คือ อีกเรื่องที่สร้างปัญหาให้ SMEs เพราะมีการเพิ่มกฎการขออนุญาตมากมายไปหมด บางครั้ง แค่ต้องการข้อมูลจาก SMEs เท่านั้น แต่มันเป็นภาระต่อ SMEs มาก เทียบกับกรณีการให้มีสถานตรวจสภาพรถเอกชน เป็นวิธีการกระจายอำนาจจากระบบราชการมาสู่เอกชน และทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกิจมากขึ้น การต่อชีวิต SMEs 1 ราย จะช่วยสร้างเศรษฐกิจได้มากมาย

ส่วน ดร.ชาญวิทย์ นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย กล่าวว่า เราต้องการพลิกประเทศด้วย AI ซึ่งทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวแล้ว ปัจจุบันการจ้างงานลดลง แต่ AI ฉลาดขึ้นทุกวัน ตลาด AI มีมูลค่าสูงขึ้นทุกวัน จากปีละ 5 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน จะกลายเป็นล้านล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า แต่รายได้ AI ของไทยมีเพียง 2 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น เรามีส่วนแบ่งตรงนี้น้อยมาก เทียบกับเวียดนามยังไม่ได้เลย เราต้องเอา AI มาสร้างงานเพราะมันสร้างงานใหม่ ๆได้ ไม่ใช่แย่งงาน เพียงแต่ทักษะต้องเปลี่ยนไป AI จะช่วยให้คนกล้าทำธุรกิจมากขึ้น มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

แต่อุปสรรคของกลุ่มผู้ประกอบการ AI ก็คือเรื่องระบบขั้นตอนราชการเช่นเดียวกับ SMEs แต่ยังมีโอกาสมากกว่าตรงที่การประกอบธุรกิจสมัยใหม่ต้องพึ่งเทคโนโลยี ซึ่งภาครัฐต้องเข้ามาช่วยด้วย สร้างผู้ประกอบการ AI ให้มากขึ้นจะช่วยสร้างรายได้มากขึ้น แต่ AI ต้องเข้าไปร่วมพัฒนากับธุรกิจอื่นด้วย เช่น เอา AI ไปพัฒนาธุรกิจโรงแรมช่วยระบบการจองห้องพัก สนับสนุนระบบความปลอดภัย

สำหรับนายกิตติ พรศิวะกิจ กรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยเคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติปีละ 40 ล้านคน สร้างรายได้คิดท้อปเท็นของโลก แต่พอเผชิญกับโควิด ทุกอย่างพังหมด จาก 40 ล้านเหลือแค่ 4 แสนคน หลังโควิด ญี่ปุ่น เวียดนาม ที่อยู่หลังเราด้านการท่องเที่ยว กลับแซงประเทศไปแบบขาดลอย ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก เพราะมีการบริหารจัดการที่ดีมาก เวียดนาม ที่ผ่านมา เรียนรู้จากไทยเรื่องการท่องเที่ยว แต่ตอนนี้ไม่เกิน 3 ปี เวียดนามจะแซงไทยแน่

ปัญหาของธุรกิจท่องเที่ยวไทย คือ ขาดแหล่งเงินทุน บุคลากรขาดความรู้ และขีดความสามารถในการแข่งขัน ขาดความปลอดภัยทั้งภัยธรรมชาติและภัยจากอาชญากรรม ต้องพัฒนาให้ได้มาตรฐาน ปลอดภัย มีเอกลักษณ์และยั่งยืน ที่ผ่านมาประเทศไทย เจอปัญหาเรื่อง หวังซิง ดาราจีนที่ถูกสแกมเมอร์หลอกเพียงเรื่องเดียว นักท่องเที่ยวจีนหายไปถึง 2 ล้านคนเพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย การท่องเที่ยวในปีนี้ เชื่อว่า ในช่วงไฮซีซั่น ธุรกิจท่องเที่ยวยังรอด แต่โลว์ซีซั่นปีหน้า ขอให้ทุกคนโชคดี

Related Posts

Send this to a friend