POLITICS

ปชน.‘ ยื่นร่างแก้ไข รธน.หมวด 15/1 เสนอกลไก 2 ระบบคู่ขนาน เปิดทางยกร่าง รธน. ฉบับใหม่

‘พรรคประชาชน‘ ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 เสนอกลไก 2 ระบบคู่ขนาน เปิดทางยกร่าง รธน. ฉบับใหม่ โดยประชาชนมีส่วนร่วมเต็มที่-เดินหน้าวางไทม์ไลน์ เคาะวันประชามติควบเลือกตั้งต้นปี 69 ตามกรอบ MOA พร้อมเรียกร้องพรรคใหญ่-รัฐบาล ร่วมผลักดันให้สำเร็จภายใน 4 เดือน

วันนี้ (22 ก.ย. 68) เวลา 11:00 น. ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนเสนอต่อรัฐสภา โดยวันนี้พรรคประชาชนยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 เกี่ยวกับกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกเพื่อเดินหน้าไปสู่การทำประชามติรอบแรกที่จะรวมคำถามครั้งที่ 1 และคำถามครั้งที่ 2 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไว้ด้วยกัน โดยจัดประชามติรอบแรกพร้อมกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลังรัฐบาลยุบสภาภายใน 4 เดือนต่อจากนี้

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า เมื่อปลายปี 2567 พรรคประชาชนเคยยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ที่เสนอให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 200 คน มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายตีความว่าเป็นการปิดประตูสู่การมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคประชาชนยืนยันว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวมีปัญหาทั้งในเชิงกระบวนการที่เป็นการตอบเกินคำถาม และในเชิงเนื้อหาสาระที่ตนเองมองว่าขัดกับหลักการว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน อย่างไรก็ตาม เพื่อมีข้อเสนอที่จะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย พรรคประชาชนได้จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ฉบับใหม่ เพื่อเสนอกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยังคงความยึดโยงกับประชาชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยไม่เสี่ยงต่อการขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง”

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวอีกว่า เนื้อหาในภาพรวมของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับรายละเอียดที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ และรับฟังความเห็นจากประชาชนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ดังนี้

1.พรรคประชาชนเสนอให้มี “2 กลไกคู่ขนาน” เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

กลไกแรก คือคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จำนวน 35 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จำนวน 70 คน โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีมและใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นรัฐสภาคัดเลือก 35 คน แบ่งสัดส่วนตาม สส. สว. และพรรคการเมือง เท่ากับว่าหากสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 700 คน สมาชิกรัฐสภา 20 คน มีสิทธิรวมตัวกันเพื่อเสนอชื่อ กมธ. ยกร่าง 1 คน

กลไกที่สอง คือสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน ทำหน้าที่รับฟังความเห็นประชาชน และสะท้อนความเห็นต่อ กมธ.ยกร่างฯ โดยทั้ง 100 คน มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ใช้ระบบแบ่งเขต ที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นรายบุคคล และใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดละ 1-5 คน ตามจำนวนประชากร

2.พรรคประชาชนกำหนดเวลาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไว้ที่ 270 วัน หรือ 9 เดือน โดยให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และกำหนดให้ทั้ง 2 กลไกสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ โดยไม่ถูกกระทบจากการยุบสภาหรือจากการที่สภาหมดวาระ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน และความต่อเนื่องของกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

3.เมื่อยกร่างเสร็จแล้ว ให้นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อรัฐสภา หากรัฐสภาเห็นชอบ ให้นำร่างดังกล่าวไปทำประชามติ เพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ แต่หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ให้ร่างดังกล่าวเป็นอันตกไป โดยหากจะมีการจัดทำฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้มีการเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดใหม่ขึ้นมาตามกระบวนการเดิม

4.เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน พรรคประชาชนกำหนดให้การทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่จำกัดอยู่แค่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ให้ครอบคลุมถึงการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย โดยอาจเริ่มต้นทันทีที่ประชาชนลงประชามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และบุคคลที่ทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น สส. สว. รัฐมนตรี ผู้บริหารหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ในช่วงแรกหลังเสร็จภารกิจ

นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า พรรคประชาชนมีข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้ 1.ขอให้พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 เข้าสู่สภาภายในสัปดาห์นี้ ตามที่ได้ประกาศไว้ และระบุรายละเอียดในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ที่กำหนดให้มีกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด ตราบเท่าที่ไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 2.ขอให้ สส. และ สว. ทุกคน พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 3.ขอให้ประธานรัฐสภา เปิดประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ทุกฉบับโดยเร็ว และ 4.ขอให้นายกรัฐมนตรี เดินสายทำความเข้าใจกับ สส. และ สว. เพื่อผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 สำเร็จตามเป้าหมายของ MOA

ทั้งนี้ นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงไทม์ไลน์หลังจากนี้ ว่า ตนเองหวังว่าภายในสัปดาห์นี้ ทั้ง 3 พรรคการเมือง คือ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย จะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ของตนเอง จากนั้นต้นเดือนตุลาคมจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 1 ถัดไปเดือนตุลาคมถึงธันวาคมเป็นการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งเดือนธันวาคมรัฐสภาจะพิจารณาวาระ 2 และวาระ 3 จากนั้นเดือนมกราคม 2569 กำหนดวันประชามติพร้อมการเลือกตั้ง และยุบสภาภายในสิ้นเดือนมกราคม 2569 ตามเงื่อนไขที่ระบุใน MOA

เมื่อถามว่า สำหรับกระบวนการที่มีการพูดมา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกในส่วนของผู้ร่าง รวมถึงเลือกสภาที่ปรึกษาด้วย พรรคประชาชนได้มีการเตรียมเรื่องงบประมาณไว้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ และให้เกิดการรณรงค์เพื่อเกิดความตื่นตัวในช่วงระหว่างการเลือกตั้ง ซึ่งเชื่อว่าฝ่ายบริหารสามารถดําเนินการได้

ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยประกาศไม่ร่วมทําหน้าที่ฝ่ายค้านกับพรรคประชาชนจะส่งผลต่อการทํางานหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของพรรคประชาชนไม่ได้ลดลง แต่อาจจะทําให้กลไกในการตรวจสอบไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร แต่ตอนนี้เราก็ยังเป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมากอยู่ ดังนั้นตนเองก็เชื่อมั่นว่าในส่วนของพรรคประชาชนจะทําหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ รวมถึง ความชัดเจนในส่วนของพรรคภูมิใจไทยที่จะเดินหน้าตามกรอบ MOA ซึ่งในการแถลงนโยบายของรัฐบาลหากจะแสดงความจริงใจก็ควรจะมีการพูดถึงไทม์ไลน์ในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย

เมื่อถามว่ามีดีลคดี 44 สส.ของพรรคหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน แต่กาลเวลาจะเป็นเครื่องตัดสิน และในส่วนของพรรคเราทําเต็มที่ และเป็นผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ภายใต้กระบวนการนิติสงคราม ทั้งนี้มีกระบวนการในการพูดคุยภายในพรรคอย่างรอบด้าน และทำความเข้าใจกับ สส.ทุกคน การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นการเลือกตั้งที่เป็นโอกาสที่ดีของประชาชนที่จะต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่อาจจะมีความเสี่ยงหลายอย่าง เช่น คดีของ สส. อาจจะมีผลทําให้เสียงโหวตในสภาเลือกนายกรัฐมนตรีเพียงพอหรือไม่ ดังนั้นกระบวนการจัดการภายในพรรค เราได้มีการพูดคุยกันอยู่แล้วจึงอาจจะมีการประเมินกันในพรรค

เมื่อถามย้ําว่า ในการเลือกตั้งสมัยหน้ามีโอกาสจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลทําดีภายใน 4 เดือน รักษาสัญญา ไม่ได้ตีรวน กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือเป็นอีกหนึ่งพรรคที่เป็นตัวเลือกที่ดีให้ประชาชนบางกลุ่ม และเราก็พร้อมที่จะแข่งขันกับพรรคภูมิใจไทย รวมถึงทุกพรรคอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนได้รัฐบาลที่ดีที่สุดในการเลือกตั้ง

นายพริษฐ์ กล่าวเสริมว่า จากการพูดคุยกับทั้งสองพรรค ด้านพรรคเพื่อไทยก็เป็นไปตามข่าวที่ปรากฏตามสาธารณะ ด้านพรรคภูมิใจไทยอย่างที่ทราบตัวแทนไม่ได้เข้าร่วมประชุมในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตนเองได้รับแจ้งจากนายภราดร ซึ่งเป็นการรับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการ ว่ามีการจัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม 15/1 ไว้แล้ว และจะมีการยื่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็ต้องให้ทางสื่อมวลชนไปถามกับพรรคพรรคภูมิใจไทย ตนเองขอย้ำข้อเรียกร้องของพรรคประชาชน ที่มีต่อทั้งสองพรรคการเมือง คือ 1.ต้องยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ภายในสัปดาห์นี้ 2.ภายในเนื้อหาของร่างนั้นเราอยากจะให้ออกแบบกลไกที่มีความยึดโยงกับประชาชน แม้ว่ารายละเอียดจะสามารถไปถกเถียงในชั้นของกรรมาธิการในวาระ 1 ได้ แต่หากยึดเจตนารมย์ตรงนี้ว่า ถึงแม้ ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงอาจมองว่าขัดกับคำวินิจฉัยของศาล แต่ถ้าเรามองว่าเจตนารมย์คืออยากให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดก็อยากจะให้ใช้หลักตรงนี้เป็นหลักสำคัญในการออกแบบตัวเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ นายพริษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า ตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตนเอง และเพื่อนสมาชิกในการพูดคุยกับทุกฝ่าย เพื่อทําให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่สําเร็จ และก่อนหน้านี้ตนเองก็เดินสายพูดคุยกับเพื่อน สส. และ สว. ซึ่งเราพร้อมพูดคุยกับทุกฝ่ายให้มากที่สุดเพื่อให้เรื่องนี้สําเร็จ แต่สิ่งที่หัวหน้าพรรคพูดคือบทบาทของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร และแกนนํารัฐบาลเมื่อเรื่องการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลชุดนี้ตาม MOA ก็อยากให้นายกรัฐมนตรีแสดงบทบาทนําในการพูดคุยกับ สส. และ สว. เพื่อให้การแก้รัฐธรรมนูญสําเร็จได้ในระยะเวลา 4 เดือน ตามกรอบที่ตกลงกันไว้ และหากในการอภิปรายนโยบายแล้วยังไม่เห็นท่าที ก็คงจะต้องนําเรื่องนี้มาสอบถามจากรัฐบาลโดยตรง

Related Posts

Send this to a friend