‘กัณวีร์’ ฝาก 5 ข้อเสนอถึง ‘อนุทิน’ ว่าที่ มท.1 จัดการปัญหา ‘ส่วยสัญชาติ’
‘กัณวีร์’ ฝาก 5 ข้อเสนอถึง ‘อนุทิน’ ว่าที่ มท.1 จัดการปัญหา ‘ส่วยสัญชาติ’ ให้สมคำชื่นชมไทยยุติคนไร้รัฐไร้สัญชาติ
วันนี้ (17 ก.ย. 68) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า ตนได้ขอหารือต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง “ส่วยสัญชาติ” หลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชน และได้ลงพื้นที่ร่วมกับ นายสมดุลย์ อุตเจริญ สส.เขต 7 จ.เชียงใหม่ พรรคประชาชน พบว่ามีการร้องเรียนจากประชาชนที่มีสิทธิตาม มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ต.ค.2567 มีข้อกล่าวหาว่ามีการเรียกสินบน รับส่วย ซึ่งมีการเรียกเงินตั้งแต่ 3,000-40,000 บาท ถ้าเฉลี่ยคนละ 5,000 บาท คิดเป็นเงินที่จะหาผลประโยชน์กันได้ 2,500 ล้านบาท
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ตนจึงมีข้อเรียกร้อง 5 ข้อไปยัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดังนี้
1.กำจัดคอรัปชั่น ทำอย่างไรไม่ให้เกิด ส่วยสัญชาติขึ้น
2.ต้องสร้างมาตรการจากส่วนกลาง อย่างเช่นที่ ทราบจาก นายสุริยศักดิ์ เหมือนอ่วม นายอำเภอสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ว่ามีมาตรการ ส่งรายชื่อ เข้าไปหาชุมชน กำหนดคิว ไม่ใช่ปล่อยช่องว่าง ให้มีการโกงกินกิน
3.ทำอำเภอเคลื่อนที่ เพิ่มช่องทางให้การเข้าถึงได้มากขึ้น
4.ต้องให้ส่วนกลางสนับสนุนงบประมาณ และกำลังพลกับอำเภอในการจัดการอย่างเป็นระบบ
5.ชี้แจงกรอบดำเนินการให้ชัดเจน กรอบดำเนินการได้อย่างไร เพื่อให้ความชัดเจนกับประชาชน
“เรื่องนี้สำคัญนะครับ ประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจาก UNHCR ที่ร่วมยุติการไร้รัฐไร้สัญชาติ เราต้องไม่ให้มีคนฉวยโอกาสหากินกับคน และคนกลุ่มนี้ได้รับสิทธิตามกฏหมายไทย เพราะอาศัยอยู่ในไทยมานาน ก่อนปี 2542 สามารถได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยถาวร และบุตรของคนกลุ่มนี้ก็มีสิทธิขอสัญชาติไทย ไม่ใช่คนกลุ่มใหม่แต่อย่างไร บางคนอยู่มา 50-60 ปีแล้ว และกระบวนการนี้ก็รอคอยกันมากว่า 20 ปี บางคนรอคอยวันนี้มายาวนานครับ”
นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า มติคณะรัฐมนตรี 29 ตุลาคม 2567 เป็นมติคณะรัฐมนตรีที่ไทยได้รับคำชื่นชมจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ที่ร่วมยุติการไร้รัฐไร้สัญชาติ ให้กับผู้มีสิทธิตามกฏหมาย ซึ่งคนทั้ง 2 กลุ่มตามมติ ครม.นี้ จำนวนกว่า 4.8 แสนคน ในจำนวน 3.4 แสนคน เป็นกลุ่มที่อาศัยในไทยมานาน จะสามารถยื่นขอใบถิ่นที่อยู่ถาวร ตาม พ.ร.บ.ตรวจคนเข้าเมือง มาตรา 17 ทำให้เดินทางได้ และขอแปลงสัญชาติไทยหลังอยู่ไทย 5 ปี ส่วนอีกกลุ่ม เป็นบุตรที่เกิดในไทยของกลุ่มแรก จำนวน 1.4 แสนคน จึงหวังว่ากระทรวงมหาดไทย จะไม่ปล่อยให้เกิดการหาผลประโยชน์กับนโยบายด้านมนุษยธรรมนี้












