‘รังสิมันต์’ มองเวที GBC ห่วง ‘กัมพูชา’ จะรักษาข้อตกลงได้แค่ไหน
‘รังสิมันต์’ มองเวที GBC ห่วง ‘กัมพูชา’ จะรักษาข้อตกลงได้แค่ไหน แนะไทยต้องรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ เห็นด้วย ศึกษาผลได้ผลเสีย MOU43-44 ย้ำ หากจะยกเลิกต้องมีกลไกอื่นที่ดีกว่า
นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย-กัมพูชา ที่มาเลเซีย ว่าการเจรจาจากครั้งนี้ยังไม่จบ เพราะจะต้องพูดคุยกันต่อในเวทีอื่น ๆ สิ่งที่ท้าทายคือทำอย่างไรให้การเจรจามีผลอย่างยั่งยืน
ส่วนตัวมองว่าผลการเจรจาที่ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่คาดหมายไว้แล้ว และผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ที่กังวลคือสุดท้ายกัมพูชาจะสามารถรักษาข้อตกลงได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหากพิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่สามารถมองอย่างไว้วางใจได้ พร้อมเสนอให้ไทยรักษาความชอบธรรมในเวทีระหว่างประเทศ
นายรังสิมันต์ กล่าวถึงกรณี MOU2543 และ MOU2544 ในเรื่องการยกเลิกว่า ทางกัมพูชาต้องการด้วยหรือไม่ หรือหากยกเลิกจะมีอะไรมาแทนที่และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้อย่างไร จะมีเครื่องมืออะไรมาเป็นกลไกทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชายแดนได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะประเด็นแผนที่ 1:200,000 สิ่งที่จะมาแทนที่ MOU2543 ในขณะนี้ยังไม่มี ความเร่งด่วนในการยกเลิก MOU2543 ยังไม่ได้มีในตอนนี้
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กรอบการเจรจาลักษณะนี้มีมานานแล้ว และยังไม่มีปัญหา อาจจะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ค่อนข้างช้า โดยเฉพาะความชัดเจนในเรื่องเส้นเขตแดน ปัญหาที่ทำให้เกิดการปะทะกันในพื้นที่ชายแดนไม่ได้เกิดจาก MOU2543 แต่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ทำให้เรื่องเส้นเขตแดนมาสร้างเงื่อนไข เพื่อเรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง
ส่วน MOU2544 บางส่วนมีปัญหาจริง แต่หากจะยกเลิกตอนนี้ คำถามคือในเวทีนานาชาติจะมองการยกเลิกอย่างไร และท่าทีของกัมพูชาหากไม่ยอมยกเลิกจะหาทางออกอย่างไร เป็นโจทย์ที่ต้องคิด เข้าใจว่าจะมีการหารือเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎรหลังจากที่มีการยื่นญัตติของ สส.
“หากมีการสร้างกลไกในการศึกษาเกี่ยวกับผลได้ผลเสีย MOU43 MOU44 ผมสนับสนุน แต่จะให้ตัดสินใจในทันทีเรื่องของการยกเลิก ในสถานการณ์นี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่เร่งด่วนเกินไป ต้องหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะ MOU44 อาจจะมีปัญหาบางประการเกิดขึ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ ศบ.ทก. ตั้ง นางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี มาทำหน้าที่โฆษก ศบ.ทก.ว่า ประเทศไทยจะชนะปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้มีกรณีเดียว คือการยอมรับจากนานาชาติ วันแรกที่มีการยิงกันทุกฝ่ายรู้ดีว่าจะยุติด้วยการเจรจา ความชอบธรรมเป็นเรื่องสำคัญ ยอมรับว่ารัฐบาลจะตั้งบุคคลมาทำหน้าที่สื่อสารเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าดูเหมือนจะช้าไป ไม่ใช่เพียงใครเป็นผู้สื่อสาร แต่องค์ประกอบข้อมูลให้เท่าทันกันมีความจำเป็นต้องทำให้เกิดความชัดเจน
นายรังสิมันต์ มองถึงเหตุผลที่กัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดการกับทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนและการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชา นักวิชาการบางคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีถึง 30% และจากข้อมูลหน่วยงานระหว่างประเทศระบุว่า อาจถึง 40% หรือมากกว่า เสียดายรัฐบาลไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาขยายผลให้มากกว่านี้ และใช้กรณีแสวงหาพันธมิตรในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ส่วนการวางกับระเบิดในพื้นที่ผิดอนุสัญญาออตตาว่า ก็ยังมีการขยายผลน้อย ตั้งคำถึงถามกระทรวงการต่างประเทศทำอะไร และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ควรมีบทบาทมากกว่านี้หรือไม่ ไม่ใช่บทบาทของกองทัพ แต่เป็นบทบาทของรัฐบาลที่ต้องแก้ไขปัญหาก่อนจะทักท้วงเรื่องของปัญหาการเบิกงบประมาณเยียวยาในพื้นที่ ปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้น ทั้งที่รู้อยู่แล้วและเตรียมการอยู่แล้ว โดยไม่ควรโทษกันไปมา โดยเฉพาะการโทษจากฝั่งรัฐบาล
“รัฐบาลไม่มีวุฒิภาวะในการรับมือกับปัญหา และก็ใช้วิธีการโทษกันไป หากจะดีกว่ารับไปว่าจะแก้ไขบอกเวลากับประชาชนว่าจะได้รับการเยียวยาเมื่อไหร่ คิดว่าการสร้างความชัดเจนในข้อมูลตรงนี้จะทำให้การจัดการกับความคาดหวังของประชาชนมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายรังสิมันต์ กล่าว












