POLITICS

‘วิโรจน์‘ จี้ รัฐบาลพุ่งเป้าทลายกลุ่มทุน ’ฮุนเซน‘ แนะ ปรับกลยุทธ์ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์

‘วิโรจน์‘ มอง ข้อพิพาทชายแดน หลังรัฐบาลยกระดับ เป็นเพียงการกดดันเศรษฐกิจ ชี้ หากไม่มีมาตรการคู่ขนานช่วยประชาชน สุดท้ายกลายเป็นทำเขาแต่เราอาจเจ็บกว่า แนะพุ่งเป้าทลายกลุ่มทุน ’ฮุนเซน‘ จี้ รัฐบาลจัดการได้เลย แนะ ปรับกลยุทธ์ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์

วันนี้ (24 มิ.ย. 68) ที่รัฐสภา นายสส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งยกระดับมาตรการบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เวลาเราพูดถึงมาตรการต่อกรณีสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ต้องพูดถึง 3 มาตรการด้วยกัน คือ มาตรการทางการทูต เศรษฐกิจ และทหาร ซึ่งมาตรการทางทหารเราคงไม่อยากเห็น เพราะหากใครเริ่มก่อนจะขาดความชอบธรรมทันที ดังนั้น มาตรการทางเศรษฐกิจจึงเป็นทางเลือกที่สมควรพิจารณา

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า แต่นายกรัฐมนตรีต้องไตร่ตรองว่ามาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ มีผลกระทบทั้งกัมพูชา และผู้ประกอบการประชาชนคนไทยด้วย สิ่งที่อยากจะเห็นคือการออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย และประชาชนที่มีกิจการการค้าตามแนวชายแดนหรือมีกิจการนำเข้าส่งออก ซึ่งเข้าใจว่ามีทั้งหมด 7 จังหวัด และเท่าที่มีการตรวจสอบงบกลางยังเหลือรอเพียงแค่การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

เมื่อถามว่า ขณะนี้เห็นเพียงมาตรการการกดดัน แต่ยังไม่เห็นมาตรการช่วยเหลือประชาชน ใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ยังไม่เห็น มาตรการการกดดันเศรษฐกิจวัตถุประสงค์สำคัญ คือการเหนี่ยวนำ สร้างแรงจูงใจ ให้กัมพูชามาเจรจาด้วยเหตุด้วยผล หากไม่มีมาตรการคู่ขนานในการช่วยเหลือประชาชนสุดท้ายจะกลายเป็นทำเขา แต่เราอาจจะเจ็บตัวกว่า

ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีเพิ่มมาตรการจะสามารถทำให้ทางการกัมพูชากลับมาเจรจาได้หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า มาตรการนี้จะได้ผล หากเรามั่นใจว่า ฝ่ายกัมพูชาจะได้รับผลกระทบมากกว่า แต่อาจไม่ได้ผล และเป็นผลตรงกันข้ามถ้าผู้ประกอบการชาวไทย และประชาชนคนไทยได้รับผลกระทบหนักกว่า ย้ำว่ามาตรการกดดันทางเศรษฐกิจต้องควบคู่ไปกับมาตรการเยียวยา

“เกมนี้เป็นลักษณะใครอึดกว่าเป็นผู้ชนะ ตอนนี้ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีจะใส่ใจแต่การเอาคืนอย่างเดียว แต่ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่มาถึงประชาชน” นายวิโรจน์ กล่าว

ส่วนกรณีที่เคยออกมาเปิดเผยเรื่องกลุ่มทุน ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามอาชญากรรม มองว่า นายกรัฐมนตรีจะแก้ปัญหาตรงนี้หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในส่วนนี้ตนเองมองว่าทำได้เลย และมีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

นายวิโรจน์ ย้ำว่า เราทราบอยู่แล้วว่ากระเป๋าตังค์ของตระกูลฮุน กระเป๋าขวา คือ LYP Groups หรือ ออกญา ลี ยงพัด ซึ่งทราบอยู่แล้วว่า เส้นเงินเชื่อมโยงกับ เสี่ย ต. ในประเทศไทย กลุ่มนักการเมืองอาจจะนามสกุล อ. มั้ง และอาจมีอีกหลายคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถจัดการได้เลยอะไรก็ตามที่ กระทบกระเทือนกับธุรกิจกาสิโนที่เป็นแหล่งทุนของตระกูลฮุนจะสามารถสร้างแรงกดดันได้แน่นอน และสร้างผลกระทบที่จำกัดต่อประชาชนของทั้งบริเวณสองประเทศ ส่วนกระเป๋าซ้าย ก็คือ มง ลิด ที ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ เมื่อรู้เส้นเงินก็ต้องเร่งรีบจัดการ

“มันจึงเกิดคำถามถึงการที่สมเด็จฮุนเซน ระบุว่า เขาก็จะเปิดเหมือนกัน ถึงกลุ่มเงินไทยที่เข้าไปฟอกเงินในกัมพูชา สำหรับผมไม่กังวล เปิดก็ดี จะได้ล้างกันสักที เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ถ้าเป็นเงินที่สะอาด เราไม่ว่ากันอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเงินสกปรก ที่พัวพันกับอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นพนันออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ต้องยอมรับว่า ผลกระทบเกิดกับประชาชนไทยก็ถือโอกาสจัดการอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในประเทศ ช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อไปในคราวเดียวกันเลย” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า แต่พอนายกรัฐมนตรีดูเหมือนจะไม่เลือกวิธีในการจัดการกับกระเป๋าสตางค์ของตระกูลฮุน ตนเองต้องตั้งข้อสังเกตแล้วว่า ตอนนี้นายกรัฐมนตรีคงไม่ญาติดีกับสมเด็จฮุนเซน ถูกเปิดคลิปขนาดนั้น แต่ยังมีความกังวลถึงเรื่องเส้นเงินที่อาจจะมาพัวพันกับกลุ่มทุน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตัวท่านนายกรัฐมนตรีเอง หรือนามสกุลของท่านนายกรัฐมนตรีหรือไม่

เมื่อถามว่า เมื่อทราบกลุ่มเป้าหมาย แต่กลับมีการตีกรอบเวลาถึงสามเดือนนั้นถือว่าช้าไปหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ก็ต้องหารือกันภายในฝ่ายความมั่นคง จะ 3 เดือน หรือกี่เดือน ก็ต้องถามถึงมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วย ภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี ต้องแสดงออกว่าหากมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการกดดันทางเศรษฐกิจ 3 เดือน 6 เดือน หรือไม่มีกำหนด รัฐบาลก็จะต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างไม่มีกำหนดเช่นเดียวกัน อาทิ มาตรการพักชำระหนี้ ทั้งต้นทั้งดอก สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งตนเองยังคาดหวังว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดต่อไป จะต้องออกมาตรการมาได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ตนเองอยากให้รัฐบาลทบทวนมาตรการ ตัดไฟ น้ำมัน อินเทอร์เน็ต เพื่อแก้ปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา เพราะตอนนี้ ตนเองได้รับรายงานว่า แก็งคอลเซ็นเตอร์มีการปรับตัวแล้ว แต่ผลกระทบตกอยู่กับผู้ประกอบการ ตนเองไม่ได้บอกว่าให้ยุติ แต่จะต้องมาทบทวน เพราะเราต้องการยุทธวิธีที่พุ่งเป้าไปที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นหลัก

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่ต้นเหตุของความขัดแย้ง เกิดจากการที่เราจะมีการสร้างกาสิโน ที่อาจขัดผลประโยชน์กับฝั่งกัมพูชาที่มีกาสิโนเช่นเดียวกัน นายวิโรจน์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปคิดไกล ตอนนี้โยงกันไปหมด วันนี้เราต้องจัดมิติการคิดในเรื่องของข้อพิพาทก่อน เราอย่าเพิ่งเอาผลประโยชน์ของตระกูลนี้ แต่ต้องเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก หากคิดในเรื่องของตระกูลก็คิดได้ แต่พิสูจน์ความจริงยาก ณ วันนี้ เราต้องยึดหลักในเรื่องพรมแดน และเอา MOU 43 เป็นหลัก หากต้องการดำเนินมาตรการใด ๆ ต่อ ส่วนเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ก็มีหลายทฤษฎีที่คิดได้เช่นนั้น แต่เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ก็ไม่มีความคืบหน้า และดูท่าทางจะเป็นหมันก็ไม่น่าจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการแค้นฝังหุ่น ฉะนั้น มองเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นองค์ประกอบได้ แต่อาจไม่ใช่เรื่องหลัก

Related Posts

Send this to a friend