‘มาริษ’ เผยผลประชุม คกก.เฉพาะกิจแก้ปัญหาในเมียนมา มอบ สมช.เป็นเจ้าภาพตัดไฟ
‘มาริษ’ เผย ผลประชุม คกก.เฉพาะกิจแก้ปัญหาในเมียนมา ต้องจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน – ตรวจสินค้าเข้มขึ้น – ยกระดับคุยในภูมิภาค ชี้ ต้องทำงานอย่างบูรณาการ มอบ สมช. เป็นเจ้าภาพ ปม ตัดไฟ ยัน ต้องสอบ จนท. ที่เข้าไปเอี่ยวธุรกิจในเมียวดี
วันนี้ (31 ม.ค. 68) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา ครั้งที่ 1/2568 ว่า การประชุมวันนี้อยากเห็นการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมียนมา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาบริเวณชายแดน ซึ่งตอนนี้ให้ความสำคัญเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากกระทบเรื่องความมั่นคงของชายแดนในไทย และมีผลกระทบที่สำคัญต่อการค้าขาย และปัญหาข้ามแดนที่เกิดขึ้นที่มีผลทางลบกับไทย
ที่ประชุมย้ำให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างเต็มที่และประสานงานอย่างบูรณาการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสำคัญ คือทำให้เกิดความมั่นคงและไม่เกิดความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทยเมียนมา ในการป้องกันปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งเรื่องยาเสพติก การค้ามนุษย์ และเรื่องสแกมเมอร์ เราอยากเห็นเครื่องมือ และโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้การค้าขายบริเวณชายแดนกลับคืนสู่ปกติ เพื่อให้พี่น้องชาวไทย และชาวเมียนมา สามารถทำการค้าขายบริเวณชายแดนตามปกติโดยเร็วที่สุด
ประเด็นหลักวันนี้ คือการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนไทยเมียนมาเพื่อป้องกัน และปราบปรามกรรมทั้งหมด และกิจกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ที่ประชุมได้เห็นพ้องกับกรอบและแนวทางในการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดนไทยเมียนมา โดยเฉพาะในจังหวัดตาก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกองทัพบกกองทัพไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดตาก และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตากได้เข้ามาให้ข้อมูลและประชุมร่วมกันเป็นอย่างดี ที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมเพื่อไม่ให้เคลื่อนย้ายปัจจัยต่าง ๆ ทั้งคน สิ่งของ สินค้าทรัพยากร ที่นำไปสู่การสนับสนุนกิจกรรมที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่ไปสนับสนุนการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนของคนไม่ใช่แค่ควบคุม แต่มอนิเตอร์พยายามไม่ให้มีบุคคลต้องสงสัยเข้าไปในพื้นที่ชายแดนเพื่อไปใช้ประโยชน์ในประเทศไทยและทำอาชญากรรมข้ามชาติ หรือกิจกรรมที่พึงประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนต่างชาติก็จะมีการมอนิเตอร์ และหากใครเป็นบุคคลต้องสงสัยจะมีการควบคุมตัว และจะมีมาตรการที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ส่วนสินค้าหรือวัตถุ และทรัพยากรอื่น ๆ จะเพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการตรวจสอบในช่องข้ามแดนทุกประเภท รวมถึงท่าข้ามตามช่องทางธรรมชาติด้วย แล้วจะเพิ่มมาตรการตรวจสอบสินค้าข้ามแดน และผ่านแดน รวมทั้งที่ประชุมจะประชาสัมพันธ์มากขึ้นทั้งฝั่งไทยและเมียนมา ให้เกิดความร่วมมือที่ดี และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ จะยกระดับความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั้งต้นน้ำในประเทศจีน และประเทศอาเซียนอย่างเมียนมา และจะยกขึ้นพูดในกรอบความร่วมมือในภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อให้เป้าหมายในการแก้ปัญหาให้สัมฤทธิ์ผลมากยิ่งขึ้น และกลไกการขับเคลื่อนทางปฎิบัติจะมีคณะทำงานโดยมีนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่บูรณาการระดับนโยบาย และขณะนี้ที่ประชุมได้ขอให้บูรณาการในเรื่ององค์กรที่มีอยู่แล้ว และกลไกด้านกฎหมาย ระเบียบที่มีอยู่แล้ว ออกมาเป็นลักษณะของชั่วคราว หรือการออกระเบียบมาเพื่อตอบรับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง อยากให้เลขา สมช. มีการประชุมกลุ่มย่อย และคำนึงถึงประเด็นในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างองค์กรต่าง ๆ บูรณาการกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และพยายามลดความไม่ชัดเจนความ ไม่โปร่งใส ในกฎระเบียบของแต่ละองค์กรให้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศชาติได้ผลประโยชน์สูงสุด
ส่วนในพื้นที่จะมอบหมายศูนย์สั่งการชายแดนจากประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดตาก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธาน ซึ่งวันนี้ทำให้เราได้เห็นภาพการทำงานมากยิ่งขึ้นที่จะนำไปสู่การบูรณาการในเรื่องต่าง ๆ
นายมาริษ ย้ำว่า ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าบทบาทหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานมีอะไรบ้าง และนำกลับมาพูดคุยกันเพื่อกำหนดแผน และเป้าหมายให้ชัดเจนว่าแต่ละหน่วยงานที่มีบทบาทอยู่ในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ชายแดนบริเวณนั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง และเข้มงวดไม่ให้เจ้าหน้าที่ทุกรัฐทุกระดับมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ และหากพบว่าเกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการเด็ดขาด
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางกรอบให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่กลุ่มเปราะบางตามแนวชายแดนไทย เมียนมา คือด้านสาธารณสุข และด้านการศึกษา ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการแสดงบทบาทที่นำของประเทศไทยในเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยธรรม
นายมาริษ กล่าวถึงการพูดคุยเรื่องการตัดไฟฟ้า ว่า ได้พูดคุยกัน แต่ในรายละเอียด อยากเห็นทุกหน่วยงานทำงานบูรณาการ เพื่อให้เห็นกฎระเบียบ และจุดมุ่งหมายของแต่ละคนก่อน ซึ่งตอนนี้ทราบว่าได้มอบเลขา สมช. ไปคุยในเรื่องนี้ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นของทุกฝ่ายให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการตัดสินใจ
ส่วนเจ้าภาพหลักในการตัดไฟนั้น นายมาริษ ระบุว่า เลขา สมช. จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน และเป็นไปตามบทบาทหน้าที่ของคนที่มีอยู่แล้ว และจะรวบรวมข้อมูลนำเสนอต่อคณะกรรมการสภาความมั่นคงแห่งชาติใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจในท้ายที่สุด ซึ่งใช้เวลาโดยเร็วที่สุด และจะต้องไม่เกิน 1 เดือน
นายมาริษ ย้ำว่า เรื่องนี้ต้องฟังเหตุผลของแต่ละคนและฟังผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายก่อนที่จะมีการดำเนินการตามนโยบายหรือตัดสินใจอะไร
ส่วนกรณีที่มีการเปิดชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต. ในพื้นที่ที่มีหุ้นส่วนธุรกิจในเมืองเมียวดีนั้น ก็ต้องมีการตรวจสอบทั้งหมด และถึงจุดที่เราต้องโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
นายมาริษ กล่าวถึงกรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำหนังสือถึงกรมเอเชียตะวันออก เพื่อขอความอนุเคราะห์ แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ว่า เมื่อสักครู่มีการพูดกัน แต่ยังไม่ได้พูดในเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามขอนำเข้ามาในที่ประชุมของคณะกรรมการเพื่อให้ได้รับความชัดเจน และจะได้บาลานซ์ผลประโยชน์ของทุกคน เพราะมีหลายด้าน จึงอยากเห็นทุกอย่างบูรณาการให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจเพราะไม่งั้นเดี๋ยวจะต้องมานั่งแก้ปัญหา และขอให้ฟัง สมช. ได้ประชุมก่อน












