ผอ.เขตห้วยขวาง เผย ป้ายขายพาสปอร์ต ไม่ได้ขออนุญาต ถูกลักลอบติด
ผอ.เขตห้วยขวาง เผย ป้ายขายพาสปอร์ต แยกห้วยขวางไม่ได้ขออนุญาต ถูกลักลอบติด พบ บริษัทที่ว่าจ้างสัญชาติสิงคโปร์ ย้ำ อยู่ระหว่างตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
วันนี้ (23 ก.ค. 67) นายไพฑูรย์ งามมุข ผู้อำนวยการเขตห้วยขวาง ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีป้ายโฆษณาภาษาจีนชวนซื้อพาสปอร์ต โดยกล่าวว่า สำนักงานเขตห้วยขวางจะร่วมมือกับ สน.ห้วยขวาง, สน.สุทธิสาร และ สน.พื้นที่ เพื่อตรวจสอบทุกอย่าง โดยสำนักงานเขตจะดำเนินการตรวจสอบใน 3 ประเด็น ดังนี้
1.ป้ายถูกต้องตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฉบับที่ 55 พ.ศ. 2553 มาตรา 66 หรือไม่ โดยกำหนดให้ป้ายที่สร้างหลังปี 2533 เป็นอาคาร เมื่อความสูงเกิน 10 เมตร น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม จึงจะใช้มาตรา 30 ของวิปปกครอง ให้เจ้าของอาคารแสดงหลักฐานว่าถูกต้องหรือไม่ ต้องมีเลขที่ใบอนุญาต และชื่อเจ้าของ ทั้งนี้ ต้องพิสูจน์สิทธิ และแสดงหลักฐาน ในระยะเวลา 15 วัน แล้วเขตจะดำเนินการตรวจสอบต่อไป โดยโทษตามกฎหมายคือ จำคุก 3 เดือนและปรับ 10,000 บาท โดยสำนักงานเขตจะมีหนังสือให้เจ้าของชี้แจงอีกที
2.ป้ายหรือข้อความสามารถดำเนินคดีเอาผิดได้หรือไม่ มีเรื่องการบังคับกฎหมาย พ.ร.บ.รักษาความสะอาด และความเป็นอยู่ของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 10, 11 และ 12 ถ้าเป็นป้ายสาธารณะข้อความจะต้องไม่ผิดศีลธรรม และไม่กระทบความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งเจ้าของอาคารนี้มีความผิดตามมาตรา 12 คือ ห้ามมิให้ผู้ใดขูด กระเทาะ ขีดเขียน พ่นสี และทาป้าย ประการใด ๆ บนถนน กำแพง หรือต้นไม้ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ติดกับถนนสาธารณะ ทั้งนี้ สำนักงานเขตจะเรียกเจ้าของป้ายมาเปรียบเทียบปรับ 5,000 บาท
3.ภาษีป้าย หากป้ายเป็นภาษาไทย จะเสีย 5 บาท/ 500 ตร.ซม. ถ้าเป็นป้ายไทย-อังกฤษ 26 บาท/ 500 ตร.ซม. และป้ายภาษาต่างประเทศล้วน 50 บาท โดยเอกชนประเมินว่า กว้าง 14 × 16 เท่ากับ 168 ตร.ม. ต้องเสียภาษีให้รัฐ 168,000 บาท/ปี ติดวันเดียวเสียครึ่งหนึ่งคือ 86,000 บาท

นายไพฑูรย์ กล่าวว่า สำนักงานเขตให้ผู้เชี่ยวชาญแปลและตรวจสอบว่ามีอะไรที่สุ่มเสี่ยงหรือไม่ ซึ่งคีย์เวิร์ดการซื้อขายพาสปอร์ตเข้าข่ายความไม่เรียบร้อย ขัดต่อหลักศีลธรรม ประกอบกับความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทั้งนี้ เจ้าของไม่ได้ทำการขออนุญาต และทำการลักลอบติด ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้เอะใจ แต่ทันทีที่ทราบก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ตรวจสอบเพื่อประกอบกับสำนวนที่จะใช้ดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายไพฑูรย์ กล่าวถึงกระบวนการขอติดตั้งป้ายว่า ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบเหมือนกับการก่อสร้างอาคาร ยื่นให้สำนักงานโยธาตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรง ซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบก่อนจึงจะอนุญาตได้ ขณะนี้มี 153 ป้ายในลักษณะเดียวกันที่ต้องตรวจสอบ เนื่องจากผู้ประกอบการอ้างว่าเป็นป้ายตามกฎหมายเก่าที่สร้างก่อนปี 2532
นายไพฑูรย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การโฆษณาซื้อขายสัญชาติหรือพาสปอร์ต ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการพิสูจน์ว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดใดบ้าง เบื้องต้นพบข้อมูลในป้ายไม่ได้มีการประกาศซื้อขายสัญชาติไทย แต่พบว่าบริษัทที่ว่าจ้างมีเจ้าของเป็นชาวสิงคโปร์ และยังไม่สามารถดำเนินคดีตามกฏหมายได้ ต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง













