สช. พัฒนา ‘e-Living Will’ ระบบจัดการหนังสือแสดงเจตนาสร้างสุขระยะท้าย
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มอุบัติการณ์ของโรคที่คุกคามต่อชีวิตสูงขึ้น รวมถึงการก้าวสู่สังคมสูงอายุ ทำให้บางครั้งการรักษาในระยะสุดท้ายไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ แต่กลับสร้างความทุกข์ทรมานและเป็นภาระของผู้ที่เกี่ยวข้อง ผลลการวิจัยพบว่าการพัฒนาระบบการดูแลแบบประคับประคองร่วมกัน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของครอบครัวและภาครัฐลดลงได้มาก
“การสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิต มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาระบบการดูแลแบบประคับประคองที่เชื่อมโยงจากโรงพยาบาลสู่ชุมชนผ่านระบบบริการปฐมภูมิ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงระบบบริการดูแล และส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะสุดท้ายของครอบครัวและระบบสุขภาพของภาครัฐลดลงได้” นพ.สุเทพ กล่าว
ล่าสุด สช.พัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารจัดการหนังสือแสดงเจตนาตามมาตรา 12 แบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ‘e-Living Will’ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการจัดทำหนังสือแสดงเจตนาฯ ได้ทุกที่ทุกเวลา ใช้งานได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าใช้งานระบบได้ที่ https://e-livingwill.nationalhealth.or.th
ในช่วงเริ่มต้นการใช้งานระบบมีสถานพยาบาลและภาคีเครือข่ายนำร่องลงทะเบียนเข้าร่วมการใช้งานระบบแล้วทั้งสิ้น 10 แห่ง ได้แก่ รพ.ราชพิพัฒน์, รพ.ลำพูน, รพ.พระจอมเกล้า, รพ.นครนายก, มหาวชิราลงกรณ์ ธัญบุรี, บริษัทชีวามิตร, เยือนเย็นวิสาหกิจ, กลุ่ม peaceful death และ มูลนิธิพุทธวิธี วัดป่าโนนสะอาด
ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า แม้การสร้างเสริมสุขภาวะระยะสุดท้ายของชีวิต รวมถึงการดูแลแบบประคับประคอง จะช่วยลดภาระของครอบครัวและภาครัฐได้ แต่ยังมีประเด็นสำคัญที่จะต้องสื่อสารทำความเข้าใจในเชิงของศาสนาที่ว่าจะเป็น ‘บาป’ หรือไม่ รวมถึงในเชิงของสังคมไทยที่มองว่าจะเป็นการ ‘อกตัญญู’ หรือไม่
“เราอาจอาศัยบทบาทขององค์กรทางศาสนาเข้ามาช่วยให้คำอธิบายได้ อย่างพระท่านก็อาจอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าการตายดีในมิติพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นการอกตัญญูหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาที่หลายครอบครัวอาจเผชิญ เพราะลูกที่ให้การดูแลพ่อแม่ในระยะสุดท้ายส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจ แต่ลูกที่ไม่ได้ดูแลมักจะไม่เข้าใจและพยายามยื้อให้ได้ หรือที่เรียกว่ากตัญญูหมื่นลี้ สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ควรมีการร่วมกันให้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติม” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว












