POLITICS

‘เศรษฐา’ แจงยิบหลักเกณฑ์ ดิจิทัล วอลเล็ต แจกคนไทย 50 ล้านคน

‘เศรษฐา’ แจงยิบหลักเกณฑ์ ดิจิทัล วอลเล็ต แจกคนไทย 50 ล้านคน รายได้ 7 หมื่น เงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท ผ่านแอปเป๋าตัง ตามพื้นที่อำเภอ ใช้ได้ พ.ค. ปีหน้า เตรียมส่งกฤษฎีกาตีความ พ.ย. นี้

วันนี้ (10 พ.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวความชัดเจนโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาทว่า โครงการนี้ไม่ใช่แค่ความฝัน แต่กำลังเป็นความจริง รัฐบาลได้หาข้อสรุปที่ดีที่สุดในการกระตุ้นและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ผ่านการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 6 แสนล้านบาท ซึ่งจะอยู่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคน และอีก 1 แสนล้านบาทในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ และทุกอย่างที่ผมแถลงในวันนี้ จะยังต้องผ่านกระบวนการตามกฎหมาย และต้องมีมติของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะได้ข้อสรุปอีกครั้ง

นายเศรษฐา ระบุว่า รัฐบาลรับฟังความเห็นจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ และหน่วยงานอื่น ๆ ทำงานร่วมกัน และปรับเงื่อนไขโครงการดิจิทัลวอลเล็ตให้รัดกุมขึ้น โดยจะมอบสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาท ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากต่ำกว่า 500,000 บาท เพื่อความชัดเจน ประโยคนี้แปลว่า ถ้ารายได้เกิน 70,000 บาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 500,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ หรือ ถ้ารายได้น้อยกว่า 70,000 บาท แต่มีเงินฝากมากกว่า 500,000 บาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิเช่นกัน โดยให้สิทธิใช้ครั้งแรกในเวลา 6 เดือนหลังจากโครงการเริ่ม และขยายพื้นที่การใช้จ่ายให้ครอบคลุมระดับอำเภอ ตามที่ได้รับฟังความเห็นมา

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า เราจะใช้เงินในการเพิ่มขีดความสามารถ ภายใต้งบ 1 แสนล้านบาท และส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตั้งใจให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เพราะฉะนั้น รัฐบาลจะออกโครงการ e-Refund ให้คนไทยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยให้ใบกำกับภาษี มาประกอบการยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีให้ท่าน ดังนั้น คนที่ไม่ได้รับสิทธิดิจิทัล วอลเล็ต ก็สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นด้วย โดยนโยบายนี้ จะส่งผลดีต่อประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในระยะสั้นโดยมี ประชาชนทุกภาคส่วนเป็นกลไกที่สำคัญผ่านการบริโภคและการลงทุน พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและ E-Government ซึ่งเป็นการวางและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศในระยะยาว

“นี่ไม่ใช่การสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจผ่านสิทธิการใช้จ่าย เพื่อให้ประชาชนมีบทบาทร่วมกับรัฐบาล (Partnership) ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ยังรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐทุกประการ ผมขอให้ประชาชนทุกคนที่ได้รับสิทธิร่วมกันใช้จ่ายด้วยความภาคภูมิใจ โดยทุกคนล้วนเป็นผู้ร่วมสร้างการเจริญเติบโตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศของเรา” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้ คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้เข้าถึงทุกพื้นที่ ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เงินทั้งหมดในโครงการนี้ จะถูกส่งตรงไปให้กับประชาชนทุกคนที่ผ่านเงื่อนไขเข้าไปยังกระเป๋าเงินดิจิทัล ขอบเขตการใช้งาน จะใช้ได้กับร้านค้าที่อยู่ในอำเภอเดียวกับบัตรประชาชนของท่าน และต้องจ่ายเงินกันแบบ Face-to-face เรื่องของระยะเวลา 6 เดือนสำหรับการใช้ครั้งแรก ก็ถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้เงินมีการหมุนเวียน และหากไม่ได้ใช้ สิทธิที่เหลืออยู่ก็จะถูกยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ และเงินที่ถูกใช้และเข้าไปอยู่ในระบบแล้ว จะสามารถใช้จับจ่ายต่อได้จนถึงเดือนเมษาปี 2570 ย้ำว่า เงินก้อนนี้ไม่ได้มาจากการเสกเงิน สร้างเงิน พิมพ์เงิน หรือออกเหรียญผ่าน Initial Coin Offering แต่อย่างใด

ส่วนเงื่อนไขในการใช้เงินดังกล่าว นายเศรษฐา ระบุว่า ใช้ซื้อสินค้า อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับบริการใช้ซื้อสินค้าออนไลน์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม และผลิตภัณฑ์จากกัญชาและพืชกระท่อม ซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณีได้ นำชำระหนี้ จ่ายค่าเรียน ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้ นำไปแลกเป็นเงินสด หรือแลกเปลี่ยนในตลาดต่าง ๆ ไม่ได้

ส่วนเรื่องประเภทร้านค้า นายเศรษฐา ระบุว่า ใช้ซื้อสินค้าได้ทุกร้านค้า ไม่ได้จำกัดแต่ร้านที่อยู่ในระบบภาษี ไม่จำเป็นต้องจด VAT ร้านค้ารถเข็น ร้านโชว์ห่วย ร้านค้าที่อยู่บนแอปเป๋าตัง ใช้ได้หมด แต่ต้องมีการลงทะเบียนรับสิทธิ และร้านค้าที่จะขึ้นเงินได้ต้องอยู่ในระบบภาษีเท่านั้น

นายเศรษฐา ยังเปิดเผยอีกว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้ประมาณ 50 ล้านคน โดยใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง เพราะมีประชาชนลงทะเบียนแล้ว 40 ล้านคน มีร้านค้าในระบบกว่า 1.8 ล้านร้านค้า โดยงบประมาณที่คาดว่าจะใช้จะมีวงเงิน 548,000 ล้านบาท แหล่งเงินทุนจะมาจากการออกพระราชบัญญัติเงินกู้ คาดว่าจะส่งให้กฤษฎีกาตีความ และผ่านกระบวนการกฎหมายในช่วงพฤศจิกายน 2566 นำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรต้นปี 2567 เพื่อจัดเตรียมงบประมาณ และจะเปิดให้ประชาชนได้ใช้ในช่วงพฤษภาคม 2567 พร้อมทั้งจะมีโครงการ e-Refund ตั้งแต่มกราคม 2567 เป็นต้นไป ส่วนโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถ จะเริ่มในเดือนมิถุนายน

“ดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นนโยบายสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ขอฝากนโยบายให้กับประชาชนทุกคน ร่วมกันใช้สิทธิ์ด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเป็นผู้ร่วมสร้างความมั่งคั่งมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติ” นายเศรษฐา ทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend