ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษา คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้สินเชื่อแก่เครือกฤษดามหานครโดยทุจริต วงเงินกว่า 9 พันล้านบาท ปัจจุบันศาลฎีกาฯออกหมายจับนายทักษิณแล้ว
โดยคดีนี้นายทักษิณ ในฐานะจำเลยที่ 1 เคยถูกจำหน่ายออกจากสารบบความชั่วคราว และศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกจำเลยที่เกี่ยวข้อง ไปแล้ว 26 คน เช่น อดีตกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย ผู้บริหารระดับสูงในธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อในธนาคารกรุงไทย รวมถึงกลุ่มเอกชนเครือกฤษดามหานคร พร้อมกับให้ชดใช้ค่าเสียหายประมาณหมื่นล้านบาทไปแล้วตั้งแต่ปี 2558 แต่ในคำพิพากษา มีการกล่าวอ้าง ว่านายทักษิณคือ“บิ๊กบอส” หรือ “ซูเปอร์บอส” ที่เป็นผู้สั่งการให้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้สินเชื่อ
วันนี้ ศาลฯคำพิพากษายกฟ้องนายทักษิณ เนื่องจากเห็นว่า ไม่มีพยานหลักฐานชี้ชัดว่า ซูเปอร์บอส หรือ บิ๊กบอส คือนายทักษิณ ตามคำกล่าวอ้างของนายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ ในฐานะกรรมการอิสระผู้มีอำนาจอนุมัติเชื่อ และเป็น 2 ใน 5 คนที่ถูกกันไว้เป็นพยานโดยไม่ถูกดำเนินคดี โดยศาลฯระบุว่า การเบิกความเกี่ยวกับคำว่า ซูเปอร์บอส เป็นเพียงการคาดเดาไปตามความเข้าใจของนายชัยณรงค์ อีกทั้งนายชัยณรงค์ไม่รู้จักนายทักษิณเป็นการส่วนตัว แต่อ้างถึงบุคคลอื่นที่โทรศัพท์มาบอกว่า “ซูเปอร์บอสตกลงแล้ว อย่าถามข้อมูลมากนักและขอให้พิจารณาไปโดยเร็ว”เท่านั้น
สำหรับคดีของนายทักษิณ มีการไต่สวนคดีลับหลังจำเลย ทั้งหมด 5 คดี โดยศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว 4 คดี คือ คดีทุจริตโครงการหวยบนดิน ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา , คดีให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยเงินกู้แก่เมียนมา 4 พันล้านบาท ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา และคดีสั่งกระทรวงการคลังบริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ศาลฎีกาฯยกฟ้อง เช่นเดียวกับคดีนี้ที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง เหลืออีก 1 คดีคือ คดีแปลงสัมปทานดาวเทียมเอื้อชินคอร์ปฯ ที่ยังไม่มีคำพิพากษา