POLITICS

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ยกฟ้อง “พานทองแท้” ขาดเจตนาตามกฏหมายที่รับเงินมาจากการฟอกเงิน

เวลา 10.00 น.ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี นัดอ่านคำพิพากษา คดีฟอกเงินทุจริตการปล่อยสินเชื่อของ ธนาคารกรุงไทย ให้ธุรกิจเครือกฤษดามหานคร คดีหมายเลขดำ อท.245/2561 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ชินวัตร” อายุ 41 ปี บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน และสมคบคบกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 , 9 , 60 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2558 มาตรา 10 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2561

ในคำฟ้องของอัยการระบุพฤติการณ์ของนายพานทองแท้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2547 จากการรับเงินเป็นเช็ค 10 ล้านบาทจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เหตุเกิดหลังจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อดีตผู้บริหารเครือกฤษดามหานคร กับพวกร่วมกันกระทำผิดกับอดีตผู้บริหาร ธ.กรุงไทยฯ ในการอนุมัติสินเชื่อโดยมิชอบ ทำให้ธนาคารเสียหายจำนวน 10,400 ล้านบาท แล้วนายวิชัยกับพวกร่วมกันฟอกเงินที่ได้จากการกระทำผิด

โดยนายวิชัย ได้นำบริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด ที่มีนายรัชฎา บุตรชาย , นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา เป็นกรรมการฯ บริษัทแกรนด์แซทเทิลไลท์คอมมูนิเคชั่น จำกัด ที่มีนายเชื้อ ช่อสลิด เป็นกรรมการฯ มาใช้ในการรับโอนเงิน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นการเปลี่ยนสภาพทรัพย์สิน

ซึ่งนายวิชัย ได้โอนเงินจากการขายหุ้นนั้น ให้นายพานทองแท้ จำเลย จำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายรัชฎา บุตรของนายวิชัย และบุคคลในครอบครัวทั้งสองมีความรู้จักเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

นายวิชัย สั่งจ่ายเช็คลงวันที่ 17 พ.ค.2547 จากบัญชีกระแสรายวัน ธ.ไทยธนาคาร สาขาบางพลัด ระบุชื่อนายพานทองแท้ ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.2547 จำเลยได้นำเช็คนั้นเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.กรุงเทพ สาขาบางพลัดของจำเลย และวันที่ 24 พ.ค.47 จำเลยได้ถอนเงิน 10 ล้านบาทเข้าบัญชีออมทรัพย์ ธ.กรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ของจำเลยอีกอัน จากนั้นระหว่างวันที่ 24 พ.ค.-26 พ.ย.2547 จำเลยได้ถอนเงินออกจากบัญชีผ่าน ATM ครั้งละ 5,000 – 20,000 บาทรวม 11 ครั้ง

และช่วงในวันที่ 14 มิ.ย.2547 มีเงินฝากเข้าบัญชี ธ.กรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ของจำเลย 80,000 บาท แล้ววันที่ 30 พ.ย.2547 จำเลยได้ถอนเงิน 8,800,000 บาทจากบัญชีดังกล่าว เข้าฝากบัญชีกระแสรายวันธ.กรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ ซึ่งมียอดเงินรวมในบัญชี กว่า 14 ล้านบาท

วันที่ 2 ธ.ค.2547 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 14 ล้านบาทจากบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ โดยนายวิชัย (ปัจจุบัน อายุ 80 ปี) , นายรัชฎา (ปัจจุบัน อายุ 53 ปี) กับพวก และอดีตผู้บริหาร ธ.กรุงไทยฯ (รวม 18 คน) ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกคดีร่วมทุจริตการอนุมัติสินเชื่อ คนละตั้งแต่ 12-18 ปี เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2558 และอัยการยังได้ยื่นฟ้องนายวิชัย , นายรัชฎา กับพวก อีกรวม 6 คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2561 ในคดีหมายเลขดำ อท.214/2561 ความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินด้วย (คดีอยู่ระหว่างไต่สวนพยาน)

ในชั้นพิจารณา ศาลอาญาคดีทุจริตฯ นายพานทองแท้ ก็ให้การปฏิเสธสู้คดีว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง เงินดังกล่าวเป็นส่วนที่จะร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้ารถซุปเปอร์คาร์ กับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย อดีตผู้บริหารกฤษดามหานคร ขณะที่ “นายพานทองแท้” ได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี 1 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

ในเวลา 10.45 น.ศาลได้เริ่มอ่านคำพิพากษา โดย องค์คณะศาลอาญาคดีทุจริตฯพิเคราะห์พยานโจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างในชั้นไต่สวนพยานแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่

ซึ่งจำเลยได้ต่อสู้คดีว่า หลังจากการกู้สินเชื่อ ธนาคารกรุงไทยแล้ว นายวิชัยได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นและดำเนินการต่างๆ ถือเป็นการฟอกเงินจนเป็นเงินบริสุทธิ์แล้ว โดยเงิน 10 ล้านบาทที่นายวิชัย โอนเข้าบัญชีจำเลยนั้น เป็นส่วนที่นายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัย จะร่วมลงทุนกับจำเลยในการดำเนินธุรกิจนำเข้ารถหรูนั้น ศาลเห็นว่า เงินดังกล่าวเป็นส่วนที่ได้จากการกระทำความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (4) ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือฉ้อโกง หรือกระทำการโดยทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ฯ ไม่ว่าเงินนั้นจะผ่านกระบวนการแปรสภาพทรัพย์สินมากี่ครั้งกี่หน ก็ยังคงเป็นเงินที่กระทำผิดฐานฟอกเงินตลอดไป ไม่ใช่เงินบริสุทธิ์ตามที่จำเลยอ้าง ข้อต่อสู้ของจำเลยเรื่องนี้จึงไม่มีน้ำหนัก

ส่วนจำเลย กระทำผิดฐานรับโอนเงินที่ได้จากการกระทำผิดมูลฐานหรือไม่นั้น ตามกฎหมาย ต้องได้ความชัดเจนว่า ผู้ที่รับโอนเงินมานั้นจะต้องรับทราบว่าเงินดังกล่าว เป็นเงินส่วนหนึ่งหรือได้มาจากการกระทำความผิดนั้น

ซึ่งคดีนี้ข้อเท็จจริงก็ปรากฏตามทางนำสืบในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของจำเลยกับครอบครัวของนายวิชัย เพียงว่า จำเลยเป็นบุตรของนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งขณะที่นายวิชัยได้ทำการกู้สินเชื่อกับธนาคาร และได้รับอนุมัติโดยจำเลยมีความสนิทสนมกับนายรัชฎา บุตรชายของนายวิชัยเพียงเท่านั้น

ในการโอนเงิน 10 ล้านบาท เข้าบัญชีจำเลยอาจจะเกิดจากการอนุมัติสินเชื่อธนาคารกรุงไทย 10,400 ล้านบาท ขณะที่บิดาของจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยในการดำเนินคดีกับนายวิชัยนั้น เจ้าหน้าที่ก็ระบุว่า นายวิชัยจะผิดหรือไม่ ก็ต้องรอผลคำพิพากษา

กรณีของนายวิชัยที่ถูกกล่าวหาร่วมทุจริตการกู้สินเชื่อธนาคารกรุงไทยนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้มีคำพิพากษาในภายหลัง ปี 2558

จากที่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของ นายพานทองแท้ ขณะนั้นอายุ 26 ปี ซึ่งเวลานั้นจำเลยเพิ่งจบการศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง จำเลยจึงย่อมไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเงินที่ได้มาจากการกระทำผิด และจำเลยเองเวลานั้นก็มีทรัพย์เป็นหุ้นในบริษัทจำนวน 4,000 ล้านบาทอยู่ก่อนแล้ว หากเทียบสัดส่วนเงิน 10 ล้านบาทที่โอนเข้าบัญชีกับมูลค่าหุ้นที่มีอยู่ ก็คิดเป็น 0.0025% และเมื่อเทียบกับจำนวนยอดเงินกู้สินเชื่อที่นายวิชัยได้ไปนั้นก็เพียง 0.001% เท่านั้น ซึ่งมีจำนวนน้อย

การที่โจทก์เห็นว่า แม้พยานจะไม่ชัดเจนว่าจำเลยรับรู้ว่าเงินนั้นได้มาจากการกระทำผิดหรือไม่ ก็ต้องฟังประกอบกับพยานแวดล้อม พร้อมอ้างแนวคำพิพากษาฎีกาการฟอกเงินคดียาเสพติดนั้นระหว่างสามี-ภรรยา ที่สามีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและตัดสินว่าภรรยาที่อยู่กินร่วมกันฉันท์สามีภรรยาย่อมรับรู้ว่าเงินนั้นมาจากการกระทำผิดด้วยนั้น โดยเป็นแนวทางที่นักวิชาการอิสระเองก็เห็นด้วย ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวถือว่ามีความแตกต่างกับคดีนี้เป็นอย่างมาก จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้

นอกจากนี้ตามทางนำสืบยังพบว่า ในการทำธุรกรรมทางการเงินของจำเลยผ่านบัญชีต่างๆ ก็ยังเป็นการโอนและถอนลักษณะปกติ มีเงินหมุนเวียนในบัญชีประมาณ 7 เดือน ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถตรวจสอบได้ ไม่มีข้อที่ปกปิดในลักษณะเปิดเผยไม่ได้หรือเป็นลักษณะซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มาของเงิน ซึ่งหากเห็นการทำธุรกรรมมีข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำผิดหรือไม่ ทางธนาคารก็สามารถที่จะตรวจสอบธุรกรรมได้

พฤติการณ์ของจำเลย จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้หรือควรรู้ว่านายวิชัยได้เงินจากการทุจริต เมื่อจำเลยไม่รู้ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฟอกเงิน พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้ว องค์คณะฯ ได้ชี้แจงให้คู่ความรับทราบด้วยว่า คดีนี้องค์คณะผู้พิพากษา (มี 2 คน) มีความเห็นต่างกันในการตัดสิน จึงได้นำความเห็นของคณะที่มีผลร้ายน้อยที่สุดกับจำเลยมาเป็นคำตัดสิน ขณะที่ความเห็นขององค์คณะอีกคนหนึ่งนั้นเห็นแย้งว่าจำเลยมีความผิดเห็นควรให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ซึ่งก็จะมีการบันทึกไว้เป็นความเห็นแย้งท้ายคำพิพากษาด้วย หากคู่ความยื่นอุทธรณ์ความเห็นแย้งนี้ในสำนวนก็จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ทราบเช่นกัน

สำหรับความเห็นแย้งนั้น ระบุว่า คดีนี้มีคำพิพากษายกฟ้อง โดยมีความเห็นแย้งกันเป็น 2 ฝ่าย หาเสียงข้างมากไม่ได้ จึงให้ผู้พิพากษาที่มีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากว่าซึ่งเห็นว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5(1)(2) , 60 ลงโทษจำคุก 4  ปี ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า คือยกฟ้อง

ภายหลังศาลยกฟ้อง “นายพานทองแท้” ได้กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ขอบคุณทุกกำลังใจ วันนี้ได้รับกำลังใจเยอะ”

ขณะที่ “คุณหญิงพจมาน” มารดา ได้ตอบคำถามสื่อด้วยสีหน้ายิ้มว่า “ขอบคุณค่ะ ก็สบายใจขึ้น”

ตามขั้นตอนในการยื่นอุทธรณ์คดีนั้นจะต้องยื่นภายใน 1 เดือนนับจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ซึ่งหากคู่ความยังมีเหตุจำเป็นที่จะต้องจัดเตรียมเอกสารและเห็นว่าอาจจะยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน ก็สามารถที่จะยื่นคำขอขยายเวลาอุทธรณ์ได้ ซึ่งศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจและมีคำสั่งว่าจะอนุญาตให้ขยายอุทธรณ์หรือไม่ เป็นระยะเวลาเท่าใด

Related Posts

Send this to a friend