เปิดใจ ‘ชัยธวัช‘ ก่อนศาลนัดชี้ชะตาคดียุบพรรคก้าวไกล
สิงหาการเมืองร้อนแรง นับถอยหลัง 4 วันสุดท้าย ก่อนศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั้งให้ยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการพรรค เนื่องจากเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากการหยิบยกประเด็นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาใช้ในการหาเสียง
ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดใจกับ The Reporters ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ซึ่งพรรคก้าวไกลค่อนข้างเชื่อมั่นในพยานหลักฐานที่มี โดยเฉพาะการงัดไม้ตายดึงศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ หนึ่งในที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาเป็นหนึ่งในพยานคนสำคัญของคดี ซึ่งนายชัยธวัช ยอมรับว่ารู้สึกเกรงใจศาสตราจารย์ ดร.สุรพล ที่ทำให้ลำบาก เพราะมีกระแสข่าวว่า กกต.เตรียมโล๊ะคณะที่ปรึกษากฎหมายใหม่ หลายคนก็อดเชื่อมโยงไม่ได้ว่าเกี่ยวข้องกับการที่มาเป็นพยานให้กับพรรคก้าวไกล
สำหรับการต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ระบุว่าต่างไปจากคดีของพรรคอนาคตใหม่ เพราะบรรยากาศทางการเมืองที่เปลี่ยนไป เพราะพรรคก้าวไกลเจอสถานการณ์ในขณะที่เป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 จึงถูกจับตาโดยประชาชน เราพยายามต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และมีหลายประเด็นที่เคยสู้ในคดีของพรรคอนาคตใหม่เพียงแต่ไม่ได้สื่อสารให้สังคมรับรู้ แต่ครั้งนี้เราตัดสินใจถ่ายทอดข้อต่อสู้ ชวนให้สังคมทำความเข้าใจ ไม่ได้กดดันศาลแต่อย่างใด
ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ นายชัยธวัชไม่ได้รู้สึกกดดันกับคำวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เพราะเขาเชื่อว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว ประสบความสำเร็จในการทำพรรคการเมืองซึ่งเติบโตเร็วกว่าที่คิด ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลหรือเสียใจ มีแต่เดินไปข้างหน้า แม้เส้นทางการเป็นหัวหน้าพรรรคก้าวไกลและผู้นำฝ่ายค้านจะมาแบบงง ๆ แบบที่ไม่ได้ตั้งใจ
“ผมไม่เคยคิดในหัวว่าจะมารับหน้าที่นี้ เพราะตอนเริ่มพรรคอนาคตใหม่ ไม่คิดจะมีตำแหน่งทางการเมือง เพียงแค่อยากมีส่วนร่วมทางการเมือง สถานการณ์มันเหมาะสมให้ทดลองทำพรรคการเมือง เพื่อเป็นพาหนะในการเปลี่ยนแปลง”
นายชัยธวัช เปิดเผยว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่รู้สึกเครียดหรือกังวล เพราะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องตนเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.มีอะไรให้ทำอีกเยอะ ทั้งเตรียมอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ราชบุรี สิ่งที่คิดในหัวตอนนี้คือต้องไปหาเสียงที่ราชบุรี
แต่พูดแบบนี้ไม่ได้อยากให้ “คนยักไหล่ อย่างไรก็ได้” เพราะคำวินิจฉัยที่ออกมาจะมีนัยยะสำคัญกับการเมืองไทยอีกหลายเรื่อง ด้วยความที่เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าทำงานการเมืองเพื่ออะไร เรารู้ว่าการเมืองไทยโหดร้าย เราเตรียมพร้อมอยู่แล้วโดยเฉพาะจิตใจ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเดินหน้าต่อ
สาระสำคัญไม่ใช่ว่าพรรคก้าวไกลหรือหัวหน้าพรรคจะไปอย่างไรต่อ ชื่อพรรคใหม่จะเป็นอย่างไร แต่สาระสำคัญคือ ผลคำวินิจฉัยที่จะส่งผลต่อการเมือง การใช้กฎหมาย และตีความหลักกฎหมายที่สุ่มเสี่ยงกระทบกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงฝากให้ประชาชนช่วยกันติดตาม อยากให้อ่านทุกประโยค ทุกข้อความของคำวินิจฉัย หวังว่าจะถูกนำมาแลกเปลี่ยนถึงการตีความกฎหมาย รวมถึงการวางฐานคิดทางการเมืองในประเทศ คำวิจฉัยส่งผลกระทบต่อพรรคก้าวไกลเป็นเรื่องเล็ก แต่ผลกระทบต่อการเมืองไทยต่างหากคือนัยยะสำคัญ
หากผลออกมาเป็นลบก็ไม่มีอะไร ตามรัฐธรรมนูญ สส.ที่เหลืออยู่ต้องหาสังกัดพรรคใหม่ภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะสิ้นสภาพการเป็น สส. แต่คำวินิจฉัยอาจส่งผลกระทบต่อคดีที่ ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 44 สส.พรรคก้าวไกลที่ร่วมลงชื่อเสนอแก้กฎหมาย มาตรา 112 ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ส่วนกระแสการไม่ยอมรับเหมือนครั้งยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นสิ่งที่สุดจะคาดการณ์เพราะปรากฏการณ์เมื่อปี 2563 หลังยุบพรรคอนาคตใหม่ เราไม่เคยคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น แต่เมื่อเกิดเหตุเราก็รักษาระยะห่างพร้อมกับเฝ้าดู จึงบอกไม่ได้ว่าคดีของพรรคก้าวไกลจะเกิดกระแสเช่นเดียวกับพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ แต่ถ้าเกิดคงเป็นไปโดยธรรมชาติ ถ้าผลออกมาแล้วประชาชนไม่พอใจก็อาจมีการแสดงออกบ้าง การที่พรรคก้าวไกลเติบโตและประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ทำให้คนกลับมามีความเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้งและระบบรัฐสภาได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยหวัง คิดเพียงว่าต้องออกไปชุมนุมถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง หวังว่าเราจะมีโอกาส คำวินิจฉัยออกมาเป็นผลดี อะไรก็ตามที่หลายคนคิดไว้จะไม่เกิดขึ้น หวังว่าแพลนบีจะไม่ได้ใช้
เรื่องพรรคสำรอง และ สส.ย้ายพรรคถือเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนจับตาเป็นอย่างมาก นายชัยธวัชมองว่าเป็นเรื่องสีสัน ในฐานะหัวหน้าพรรคต้องเตรียมพร้อมในทุกฉากทัศน์ ทุกสถานการณ์ การตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งต้องมีมติจากที่ประชุม สส.รวมถึงผู้ปฏิบัติงานของพรรคที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์
พรรคสำรองไม่ใช่เรื่องที่ควรโฟกัส แต่เรื่องที่ควรโฟกัสคือประเด็นในการต่อสู้ ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยคดียุบพรรค การตีความขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญไว้หรือไม่ การที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างกฎหมายหลายฉบับขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ แม้กระทั่งการที่พรรคก้าวไกลต่อสู้ว่าไม่สามารถนำคำวินิจฉัยคดีก่อนหน้ามาผูกพันกับคดีไม่ได้ มันน่าตื่นเต้นมากกว่าชื่อพรรคใหม่อีก
นายชัยธวัช ยังกล่าวถึงกระแสแคนดิเดตหัวหน้าพรรคคนใหม่ เข้าใจว่าคลิปที่ออกมาในสื่อของพรรคก้าวไกลทำให้คนเข้าใจผิด ความจริงเราอัดมาหลายเดือนแล้ว ตนเองกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่ว่าง ช่วงนั้นนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคว่าง ประกอบกับนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ มีบทบาทช่วยงานหลังบ้านเยอะ เข้าใจคนที่คาดเดาไปต่าง ๆ นานา สส.คนไหนโดดเด่นก็จะถูกจับตาแสดงว่าเข้าตาประชาชน
ส่วนการวางทายาทรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 เพื่อรองรับการยุบพรรคนั้นไม่เกี่ยวกัน พรรคก้าวไกลพยายามพัฒนาบุคลากรและยกระดับพรรคอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคดียุบพรรคเราทำอยู่แล้ว หากเราไม่ทำเช่นนี้สุขภาพพรรคการเมืองก็ไม่แข็งแรง เพราะฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นก่อตั้งไม่กี่คน เราเปิดให้ทุกคนมีโอกาสได้ทำงานหลายตำแหน่ง ทั้งการอภิปราย การนั่งเก้าอี้คณะกรรมาธิการ ไม่มีระบบเส้นสายหรืออาวุโส รับประทานอาหารกับหัวหน้าพรรคบ่อยแล้วจะได้เป็น แต่เราเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้ฉายแสง
และเมื่อมีกระแสว่าพรรคจะถูกยุบ เป็นธรรมดาของการเมืองที่ สส.จะถูกช้อน นายชัยธวัช ยอมรับว่ามี สส.ฝั่งรัฐบาลหลายพรรคพยายามติดต่อทาบทาม ชวนไปรับประทานอาหาร มีข้อเสนอให้ตั้งพรรคใหม่รองรับจะได้ไม่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ไม่เป็นพรรคไหนของรัฐบาล บางคนก็ไปโม้ว่าติดต่อได้แล้ว ยิ่งสัปดาห์ที่ผ่านมายิ่งกว่าปลาหมอคางดำ เชื่อมั่นว่า สส.ก้าวไกลเห็นว่าการอาสาเป็นผู้แทนราษฎรรอบนี้ ไม่เหมือนปี 2562 ที่แทบจะไม่รู้จักกัน แต่รุ่นนี้เห็นแล้วว่าพรรคการเมืองเป็นอย่างไร ได้ทำงานร่วมกันประกอบกับความรู้สึกของประชาชนที่ชัดเจนมากในการสนับสนุนเลือกพรรคก้าวไกลในเดือนพฤษภาคม 2566 แบบไม่คาดคิด ความรู้สึกฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกลแม้จะไม่ได้เป็นรัฐบบาลมันเด่นชัดมาก
“ผมเคารพและเชื่อมั่นว่า สส.จะไม่ทรยศต่อเสียงและความหวังที่ประชาชนมอบให้ ผมว่ามันเป็นเกียรติมาก แม้จะถูกปลาหมอคางดำตอดทุกวัน” นายชัยธวัช กล่าวทิ้งท้าย