HUMANITY

พิธา จี้นายกฯ ทบทวนนโยบายต่างประเทศ ยืนยันผลักดันผู้ลี้ภัย “ไร้มนุษยธรรม”

ชายแดนไทย- เมียนมา ยังน่าห่วง ‘พิธา’ จี้ทบทวนนโยบายต่างประเทศ ยืนยัน การผลักดันผู้ลี้ภัยชายแดนกลับประเทศเป็นความ ‘ไร้มนุษยธรรม’ หวั่นบานปลายกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอาเซียน

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย มานพ คีรีภูวดล ส.ส.ชาติพันธุ์ พรรคก้าวไกล รับเรื่องร้องเรียนจาก สุริชัย หวันแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติภาพเเละความขัดเเย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยเเละคนไร้รัฐ ( CRSP ) เพื่อขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและแก้ปัญหาของชาวเมียนมาที่ลี้ภัยเข้ามาในประเทศไทย

พิธา กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นผลกระทบมาจากความไม่สงบในเมียนมาตั้งเเต่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น หากพูดถึงตัวเลขของคนพลัดถิ่นในประเทศมีมากกว่า 200,000 ราย มีผู้เสียชีวิตกว่า 900 ราย มีนักโทษทางการเมืองทั้งหมด 6,000 คน เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จึงจำเป็นต้องถามไปยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถึงนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย ต่อการจัดการสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ส่วนในการแก้ไขปัญหานั้น ขอมองภาพรวมเป็น 4 ประเด็นหลัก

– การจัดการปัญหาเฉพาะหน้าคือการช่วยผู้ลี้ภัยและการบริหารชายแดน โดยเราจะไม่ผลักดันมนุษย์ด้วยกันกลับไปสู่ดินแดนอันตราย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยจะต้องยึดให้มั่นในนโยบายต่างประเทศ

– ถามพลเอกประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี เเละนายดอน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต่อฉันทามติ 5 ข้อ ที่เป็นข้อสรุปเพื่อยุติความรุนเเรงในเมียนมาของอาเซียน ซึ่งมีประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งคือการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบและไม่กีดขวางการช่วยเหลือได้ดำเนินไปตามนั้นหรือไม่

– การช่วยเหลือชาวเมียนมาในสถานการณ์ที่มีความไม่สงบในประเทศ ซึ่งทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเเละการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในฐานะที่เป็นกรรมาธิการพิจารณางบประมาณประจำปี 2565 ได้แสดงความเห็นในการสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนเมียนมาว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทำและทำได้

– ขณะนี้ทีมงานกฎหมายของพรรคก้าวไกลอยู่ระหว่างการพิจารณายกระดับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้เปลี่ยนเป็นกฎหมายในการบูรณาการดูแลปัญหาเรื่องชายแดนให้มีความชัดเจน เพื่อให้ผู้ลี้ภัยในกลุ่มเปาะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้หญิง ได้รับการดูแลอย่างที่ควรจะเป็น และในฐานะที่เป็นสมาชิกรัฐสภาไทยเเละรัฐสภาอาเซียน ตนพร้อมที่จะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างเต็มที่

ด้าน สุริชัย กล่าวว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา (รัฐกะเหรี่ยง) ขณะนี้มีการสู้รบกันระหว่างกองกำลังเมียนมาและกองกำลังเคเอ็นยูมาตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม จึงคาดการว่าจะมีผู้อพยพพลัดถิ่นภายในประเทศ (IDPs) กระจัดกระจายอยู่ฝั่งเมียนมาที่เป็นเขตป่าเขาจำนวนกว่า 7 หมื่นคน ซึ่งไม่สามารถกลับเข้าไปยังหมู่บ้านของตนได้ และไม่สามารถทำการผลิตได้ จึงหมายถึงปัญหาการขาดแคลนอาหารในระยะยาวด้วย นอกจากนี้การที่ต้องมาอยู่ในเขตป่า นอกจากปัญหาการขาดแคลนอาหารแล้ว ยังมีภาวะเจ็บป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคมาลาเรียในหน้าฝน ปัญหาสุขภาพของผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์หรือแม่ลูกอ่อน รวมถึงเด็กๆ และผู้บาดเจ็บด้วย ซึ่งประชากร 70-80% ของ IDPs คือกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ เนื่องจากที่ผ่านมาได้เคยมีการอพยพข้ามแม่น้ำสาละวินมาฝั่งไทยเป็นระลอกๆ แต่ทางการไทยที่ควบคุมแนวชายแดนจะผลักกลับ โดยอ้างว่าการสู้รบสงบแล้ว นอกจากนี้ แม้จะมีการระดมของบริจาคจากสาธารณะเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้อพยพแต่ก็ยังขาดกลไกการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่การตั้งคณะกรรมการประสานงานระดับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ไม่สามารถทำงานได้จริง ปัจจุบันกลุ่มช่วยเหลือในท้องถิ่นยังไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งของข้ามไปช่วยเหลือได้ ส่วนองค์กรต่างประเทศก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการช่วยเหลือ IDPs ที่อยู่นอกแคมป์ฝั่งไทยได้

Related Posts

Send this to a friend