HUMANITY

“ผู้เฒ่าไร้สัญชาติ” เฮ! กรมการปกครองพิจารณาให้สัญชาติ

กรมการปกครองได้ส่งหนังสือเวียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเรื่องแนวทางการปฏิบัติในการพิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ผู้สูงอายุไร้สัญชาติ ตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ.2543 โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า

“ได้รับการร้องเรียนจากกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์อาข่าและชนเผ่าอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ว่าได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยมากกว่า 50 ปี และได้ยื่นเอกสารขอแปลงสัญชาติแต่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย ซึ่งในข้อเท็จจริงบางรายสามารถแก้ไขปัญหาความไร้สัญชาติได้ด้วยระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พศ. 2543 (หรือ ระเบียบ 43) ทั้งนี้เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ขอให้จังหวัดแจ้งอำเภอ ปฏิบัติดังนี้”

1.การลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้านตามระเบียบสำนักทะเบียนกลาง ว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ.2543 ผู้ยื่นคำร้องต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ (1) เป็นชาวเขา 9 เผ่า ได้แก่ กะเหรี่ยง ม้งหรือแม้ว เมี่ยนหรือเย้า/อิวเมี่ยน อาข่าหรืออีก้อ ลาหู่หรือมูเซอ ลัวะหรือละเวือะ/ละว้า/ถิ่น/มัล/ปรัย /ขมุ และมลาบรีหรือคนตองเหลือง หรือ (2) เป็นบุคคลบนพื้นที่สูงที่ได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติ (3) มีสัญชาติไทยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ กล่าวคือ บุคคลที่เกิดในราชอณาจักรระหว่างวันที่10 เมษายน พ.ศ.2456 จนถึงวันที่13 ธันวาคม พ.ศ.2515 หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว (4) อาศัยอยู่ในเขตท้องที่ 20จังหวัดที่กำหนด ได้แก่ กาญจนบุรี กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน ประจวบคีรีขันธ์ พะเยา พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ราชบุรี เลย ลำปาง ลำพูน สุโขทัย สุพรรณบุรี และอุทัยธานี 

2. พยานเอกสารและพยานบุคคลที่ใช้ในการยื่นคำร้องของลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน ตามระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ.2543 ประกอบด้วย (1) เอกสารที่ได้จากการจัดทำทะเบียนประวัติต่างๆ ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฏรและตามมติคณะรัฐมนตรี(เฉพาะบุคคลบนพื้นที่สูง)
(2) เอกสารต่างๆที่ทางราชการออกให้เพื่อรับรองสถานบุคคลตามกฎหมาย เช่น ใบรับแจ้งการเกิด หนังสือรับรองการเกิดหรือสูติบัตร บัตรประจำตัว เป็นต้น (3)เอกสารอื่นที่มีรายละเอียด สามารถเกี่ยวกับสถานะบุคคลซึ่งเป็นข้อมูลในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอันทำให้ได้รับสัญชาติไทยได้ (4) พยานบุคคลที่น่าเชื่อถือสามารถให้การรับรองและยืนยันตัวบุคคลและคุณสมบัติตาระเบียบกฎหมายได้ (5)รูปถ่ายจำนวน 1 รูป

3 กรณีผู้ขอลงสัญชาติไทยตามทะเบียนบ้านตามระเบียบ 2543 เป็นผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าต้องเกิดในประเทศไทย หากไม่สามารถออกหลักฐานการเกิดได้ เนื่องจากมีอายุมาก ผู้รู้เห็นอาจเสียชีวิตการเกิดไปหมดแล้ว ให้นายทะเบียนใช้การสอบปากคำพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือกระบวนการประชาคมหมู่บ้าน หรือการรับรองโดยคณะกรรมการหมู่บ้าน เพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลที่เกิดในประเทศไทยแทนหลักฐานการเกิดได้

4. กรณีผู้ขอลงรายการสัญชาติไทย ในทะเบียนบ้านตามระเบียบ 43 เกิดภายในราชอาณาจักรหลังวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ต้องเป็นบุตรของบุคลลตามข้อ 3 จะต้องมีหลักฐานการเกิดของบิดาหรือมารดา หากปรากฎว่าบิดาหรือมารดาที่เป็นชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มชาติพันธุ์ได้เสียชีวิตแล้ว หรืออาจเป็นผู้สูงอายุ ไม่สามารถออกหลักฐานการเกิดได้ให้นายทะเบียนสอบปากคำพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือกระบวนการประชาคมหมู่บ้าน หรือการรับรองโดยคณะกรรมกาหมู่บ้าน เพื่อยืนยันว่าเป็นบุคคลที่เกิดในประเทศไทยแทนหลักฐานการเกิดได้

“กรณีผู้ขอลงรายการสัญชาติไทยในทะเบียนบ้าน มีบิดาหรือมารดาได้รับอนุญาตให้ลงรายการสัญชาติไทยตามระเบียบ 43 ย่อมส่งผลให้บุตรของบุคคลดังกล่าวได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ตามมาตรา 7 (1) หรือ (2) แห่งพรบ.สัญชาติ พศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พศ.2535 โดยไม่ต้องยื่นขอลงรายการสัญชาติไทยอีก” ในหนังสือระบุ

รศ.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าเราสังเกตเห็นความเข้าอกเข้าใจของฝ่ายปกครองของรัฐไทยต่อชาวเขาสูงอายุไร้สัญชาติ หรือที่คนทำงานบนดอยเรียกว่า “ผู้เฒ่าไร้สัญชาติ” ซึ่งมักจะมีความเปราะบางทางสังคม อาทิ ยากจน ไร้การศึกษา และความไร้สัญชาติของผู้เฒ่ายังอาจทำให้บุตรหลานตกเป็นคนไร้สัญชาติตามไปด้วย ทั้งที่น่าจะเป็นชาวเขาดั้งเดิมที่อาศัยติดแผ่นดินไทย จนน่าจะมีสิทธิในสัญชาติไทยแบบไม่มีเงื่อนไข

รศ.พันธุ์ทิพย์กล่าวว่า ข้อสังเกตในประการแรก หนังสือสั่งการนี้มีไปยัง “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ซึ่งต้องดูแลผู้สูงอายุไร้สัญชาติในบริบทของ “ระเบียบ 2543” อันหมายถึง ผู้สูงอายุไร้สัญชาติ ซึ่งเป็นบุคคลบนพื้นที่สูง และส่วนใหญ่เป็น “ชาวเขา”  โดยดูเหมือนอธิบดีกรมการปกครองตระหนักดีว่า 

ในวันนี้ของ พ.ศ.2563 ในประเทศไทย  ชาวเขาไร้สัญชาติจำนวนไม่น้อยต้องลงดอยไปอยู่ในเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทย เพราะหางานทำ และอาจไปตั้งบ้านเรือนในจังหวัดที่ไกลจากดอยที่พวกเขาเกิด  ดังนั้นเป็นไปได้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครคงต้องใช้ระเบียบ 2543 ในการรับรองสิทธิในสัญชาติไทยของชาวเขาเผ่าอาข่าบนดอยแม่สลอง ซึ่งลงดอยไปทำงานที่อำเภอกระทุ่มแบน  หากคนอาข่าดังกล่าวมีลักษณะของชาวเขาดั้งเดิมติดแผ่นดิน ซึ่งยังประสบปัญหาความไร้สัญชาติ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสถานะบุคคลกล่าวว่า ข้อสังเกตในประการที่ 2คือ หนังสือสั่งการของอธิบดีกรมการปกครองฉบับนี้ แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า ชาวเขาหรือบุคคลบนพื้นที่สูงใน 20 จังหวัด ซึ่งน่าจะเป็นคนดั้งเดิมที่อาศัยติดแผ่นดิน หรือเป็นบุตรของคนดังกล่าวไม่จำเป็นที่จะต้องร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย เมื่อขจัดปัญหาความไร้สัญชาติ หากมีพยานหลักฐาน “ระดับหนึ่ง” ที่อาจสันนิษฐานว่า เป็นคนที่มีสิทธิในสัญชาติไทย   หนังสือสั่งการฉบับนี้จึงมีลักษณะของ “ตำรากฎหมายการทะเบียนราษฎร” ที่สรุปความเข้าใจที่ง่ายๆ และชัดเจนเพื่อลงรายการสัญชาติไทยให้แก่ชาวเขาและบุคคลบนพื้นที่สูงที่เป็นคนดั้งเดิมที่อาศัยติดแผ่นไทยมาตั้งแต่ก่อนการก่อตั้งรัฐสมัยใหม่บนแผ่นดินนี้  การสร้างตำรากฎหมายโดยหนังสือสั่งการแบบนี้จึงเป็นการสร้างประสิทธิภาพและความทันสมัยให้แก่ระเบียบ 2543 ซึ่งมีอายุราว 20 ปีแล้ว

อาจารย์คณะนิติศาสตร์กล่าวว่า ข้อสังเกตในประการที่ 3 ในหนังสือสั่งการของอธิบดีกรมการปกครองฉบับนี้ เป็นเรื่องของ การเพิ่มเติมปัญหาที่ถกเถียงกันในพื้นที่เกี่ยวกับสิทธิในสัญชาติไทยแบบไม่มีเงื่อนไขของชาวเขาและบุคคลบนพื้นที่สูงที่เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้รับการลงรายการสัญชาติไทยตามระเบียบ 2543  ซึ่งบุตรก็น่าจะสืบสิทธิในสัญชาติไทยนี้ได้เลย เพราะคนดั้งเดิมย่อมมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักกฎหมายสัญชาติที่ชัดเจน แต่ปัญหาที่เกิดเป็นเรื่องของการตกหล่นหรือการบันทึกผิดทางทะเบียนราษฎร ทั้งที่มีข้อเท็จจริงที่ฟังได้แล้วว่า เป็นคนที่มีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิดแบบไม่มีเงื่อนไข   หนังสือสั่งการฉบับนี้ของกรมการปกครองได้มีข้อกำหนดที่ชัดเจนเพื่อรับรองสิทธิของบุตรของคนดั้งเดิมดังกล่าว  แม้บุพการีจะเสียชีวิตลงแล้ว จึงไม่อาจมาร้องขอลงรายการสัญชาติไทยได้เอง การใช้พยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ หรือกระบวนการประชาคมหมู่บ้าน หรือคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อยืนยันว่า เป็นบุคคลที่เกิดในประเทศไทย แทนหลักฐานการเกิด ก็เป็นได้ เมื่อฟังว่า บุพการีที่ตายลงเป็นคนที่เกิดในประเทศไทย บุตรหลานก็ย่อมจะสืบสิทธิในสัญชาติไทยนี้ได้  ด้วยการใช้กฎหมายสัญชาติและกฎหมาย การทะเบียนราษฎรที่เข้าใจในปัญหาของคนบนดอยดังกล่าว ก็ไม่จำเป็นใช้การแปลงสัญชาติเป็นไทยเพื่อผู้เฒ่าไร้สัญชาติบนดอยที่พอฟังได้ว่า เกิดในประเทศไทยก่อนความสมบูรณ์ของระบบการทะเบียนราษฎรจะเกิดขึ้นจริงบนพื้นที่สูงของประเทศไทย

รศ.พันธุ์ทิพย์กล่าวว่า ข้อสังเกตในประการที่ 4 ที่พบในหนังสือสั่งการฉบับนี้ ก็คือ การสร้างความมั่นใจที่จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะใช้ระเบียบ 2543 เป็น “วิธีพิจารณาความสัญชาติแบบพิเศษสำหรับชาวไทยภูเขาและบุคคลบนพื้นที่สูงในทะเบียนประวัติ” ซึ่งก็คือ เหล่าคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ติดแผ่นดินไทยมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2515 ซึ่งน่าจะมิใช่คนอพยพเข้ามาจากต่างประเทศ แต่ยังตกหล่นจากการรับรองสิทธิในสัญชาติไทย ในปัจจุบัน

อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าเราพบว่าผู้เฒ่าไร้สัญชาติที่เป็นชาวเขาหรือบุคคลบนพื้นที่สูงก็มีไม่มาก ดังที่เคยเป็นอยู่ในช่วง พ.ศ.2543 จนต้อง มีระเบียบ 2543  หากพวกท่านเหล่านี้ยังตกหล่นอยู่ในความไร้สัญชาติ อาทิ ผู้เฒ่าในบ้านกิ่วสะไต อ.แม่จัน จ.เชียงราย  การเข้าใช้ระเบียบ 2543 อย่างเร่งด่วนก็จำเป็น เพื่อที่การดูแลท่านทั้งหลายในเวลาของชีวิตที่เหลือไม่มากนัก  แต่ในส่วนของบุตรหลานที่เกิดหลังจากวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 ซึ่งถือเป็นเวลาที่เริ่มมีการอพยพของชาวเขาหรือบุคคลบนพื้นที่สูงจากนอกประเทศไทยเข้ามาตั้งบ้านเรือนในประเทศไทย  ก็จะถูกเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐไทยในสถานะคนสัญชาติไทยได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ระเบียบ 2543 อีกครั้ง ด้วยการสั่งการในประการที่ 4 นี้ การจัดการปัญหาความเป็นคนต่างด้าวเทียมของคนดั้งเดิมบนดอยและบุตรหลาน ก็คงทำให้เจ้าหน้าที่ของ อำเภอหรือเขตหรือเทศบาลมีความสบายใจขึ้นในการดูแลคนที่มีพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์นัก เพราะเป็นผู้เฒ่าที่เกิดก่อนระบบการทะเบียนราษฎรในประเทศไทย หรือที่เกิดในระหว่างความยังไม่สมบูรณ์ของระบบการทะเบียนราษฎรดังกล่าว

“ในท้ายที่สุด ดิฉันเดาว่า อธิบดีกรมการปกครองก็น่าจะมีหนังสือสั่งการฉบับตำราออกมาเพื่อกำหนดแนวคิดและวิธีปฏิบัติในอีก 2 กรณีที่มักเกิดในเหล่าผู้เฒ่าไร้สัญชาติบนดอย คือ กรณีที่มีเอกสารราชการฉบับหนึ่งระบุว่า เกิดในประเทศไทย แต่อีกฉบับหนึ่งระบุว่า เกิดในต่างประเทศ  และ กรณีที่เกิดในต่างประเทศ แต่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศมานมนานจนมีบุตรหลานเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิด  ซึ่งกรณีที่เอกสารขัดแย้งก็น่าจะยังใช้ระเบียบ 2543 ได้ ในขณะที่กรณีของคนเกิดนอกประเทศไทย ก็คงหนีการรับรองสัญชาติไทยภายหลังการเกิดโดยการสมรสหรือโดยการแปลงสัญชาติไม่พ้น   การกำหนดแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนโดยหนังสือสั่งการ หรือระเบียบ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ควรทำในไม่ช้า เพื่อที่ผู้เฒ่าไร้สัญชาติใน 2 สถานการณ์ดังกล่าวมา จะได้รับการดูแลเช่นกัน” รศ.พันธุ์ทิพย์ กล่าว

ขณะเดียวกันได้มีความคืบหน้าการแก้ไขปัญหากรณี “การแปลงสัญชาติให้แก่ผู้สูงอายุไร้สัญชาติ” ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย โดยนางสาวเพียรพร ดีเทศน์ เลขาธิการมูลนิธิพชภ. กล่าวว่าเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทางอำเภอเชียงของ ได้มีการประชุมพิจารณากลั่นกรองการให้สัญชาติไทยเเละเข้าสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายเเก่ชนกลุ่มน้อย โดยเป็นบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยมานานเกิน 30 ปี ซึ่งมูลนิธิพชภ. โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ทำวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีกรณีศึกษาเป็นผู้สูงอายุจาก อ.เชียงของ จำนวน 4 รายเข้าสอบ ซึ่งทั้งหมดสามารถสอบผ่านในระดับอำเภอ

เลขาธิการมูลนิธิพชภ. กล่าวว่าจากการดำเนินงาน มีข้อสังเกตว่า การพิจารณาระดับอำเภอบางแห่งใน จ.เชียงราย ใช้เกณฑ์ให้ผู้เฒ่าตอบคำถาม ความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย 10 ข้อ และร้องเพลงชาติไทยด้วย ซึ่งเป็นข้อจำกัดอย่างยิ่งโดยเฉพาะของผู้เฒ่าที่อายุมากแล้ว และใช้แต่ภาษาชาวเขาในชีวิตประจำวัน ก่อนหน้านี้ มีผู้เฒ่าชาวอาข่า อายุ 70 และ 72 ปี ไม่กล้าร้องเพลงชาติในการสอบที่ประชุมคณะทำงานระดับอำเภอ ซึ่งบรรยากาศเคร่งเครียด เป็นทางการ อยู่ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า จึงสอบไม่ผ่าน พ่อเฒ่าท้อใจ ไม่ยอมไปสอบซ่อมที่อำเภออีก ทีมงานพชภ. จึงต้องไปให้กำลังใจ และฝึกพ่อเฒ่าให้ร้องเพลงชาติไทย จนมีความมั่นใจ โดยเจรจาขอให้คณะทำงานระดับอำเภอผ่อนผันผู้เฒ่าร้องเพลงพร้อมกันไม่ต้องแยกร้องเดี่ยวจึงสอบผ่านได้

ซึ่งหากใช้กระบวนการแปลงสัญชาติสำหรับผู้เฒ่าไร้สัญชาติตามระบบเดิม มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ไม่สอดคล้องกับชีวิตของผู้สูงอายุ และอาจใช้ระยะเวลาดำเนินการยาวนานถึง 15-30 ปี ดังกรณีตัวอย่างในอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่จัน และเชียงของ จ.เชียงราย ทำให้ผู้สูงอายุส่วนมาก ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการมีสัญชาติไทยได้ และบางรายก็เสียชีวิตไปแล้ว

นายก้อน ธรรมวงค์ ผู้เฒ่าไร้สัญชาติชาวเชียงของ กล่าวว่าตนรู้สึกดีใจเเละตื้นตันใจที่ผ่านการทดสอบระดับอำเภอได้เเล้ว เเละจะสู้จนกว่าจะได้ถือบัตรประจำตัวประชาชน ในขั้นต่อไปซึ่งจะต้องไปทดสอบในระดับจังหวัด ตนเองจะกลับไปฝึกร้องเพลงชาติไทยทุกวัน ที่อยากได้บัตรประชาชนไทยนั้นเนื่องจาก อยากมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ และมีสิทธิอื่นๆ อยากใช้สิทธิเลือกตั้งให้คนดีๆ เข้ามาทำงาน

Related Posts

Send this to a friend