PUBLIC HEALTH

ซ้อมใหญ่ขั้นตอนรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จัดซ้อมใหญ่ขั้นตอนรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เตรียมความพร้อมตามนโยบายเปิดประเทศ 1 พ.ย. 2564 คาดวันแรกมีเที่ยวบินกว่า 80 เที่ยว ลำแรกจากญี่ปุ่น

นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นั้น ในวันนี้ (27 ตุลาคม 2564) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ร่วมกับทุกหน่วยงานที่ปฏิบัติงาน จัดฝึกซ้อมใหญ่การให้บริการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดภายใต้มาตรฐานการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ของกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้การให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 กรณีของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะเปิดให้บริการผู้โดยสารทั้งอาคารเทียบเครื่องบินด้านทิศตะวันออก (Concourse C) และด้านทิศตะวันตก (Concourse E, F, G) โดยจะมีขั้นตอน เริ่มตั้งแต่ผู้โดยสารลงจากอากาศยานแล้วจะได้รับการตรวจคัดกรองจากเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ แยกเป็น 2 ส่วน คือผู้โดยสารบางส่วนจะยังต้องตรวจด้วยระบบใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry: COE) อีกส่วนจะตรวจด้วยวิธีการสแกน QR Code ของระบบ Thailand Pass ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย ซึ่งในอนาคตจะเข้ามาแทนการใช้ระบบ COE จากนั้นผู้โดยสารเดินตามเส้นทางที่กำหนด ผ่านการตรวจคัดกรองอุณหภูมิ หากผู้โดยสารอุณหภูมิเกิน 37.3 องศาเซลเซียสหรือเข้าเกณฑ์ PUI เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคฯ จะกันผู้โดยสารดังกล่าวไปดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ถ้าอุณหภูมิไม่เกิน 37.3 องศาเซลเซียสก็เข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง

หลังจากนั้นผู้โดยสารรับสัมภาระและผ่านพิธีการศุลกากร กรณีมีของสำแดง แต่หากไม่มีของสำแดงจะมีเจ้าหน้าที่นำผู้โดยสารไปพบตัวแทนโรงแรมที่เป็นสถานที่กักตัวทางเลือกที่ผู้โดยสารจองมาล่วงหน้าแล้ว บริเวณโถงผู้โดยสารขาเข้าชั้น 2 จากนั้นผู้โดยสารขึ้นรถของโรงแรม ซึ่งมีการจัดให้มีที่กั้นระหว่างพนักงานขับกับผู้โดยสาร เป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เพื่อไปดำเนินการตรวจ RT-PCR ตามกำหนด ณ โรงแรมที่พักต่อไป

ทางด้านผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เมื่อผู้โดยสารทำการเช็คอินที่เคาน์เตอร์เช็คอิน เจ้าหน้าที่สายการบินจะทำการตรวจสอบเอกสารตามที่ประเทศปลายทางกำหนด ก่อนออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) จากนั้นก็สามารถเข้าสู่ขั้นตอนตรวจหนังสือเดินทางตามปกติต่อไป

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของผู้โดยสารขาออกภายในประเทศปัจจุบัน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิก็มีการให้บริการภายใต้มาตรการเฝ้าระวังโรคที่เข้มงวด เมื่อผู้โดยสารทำการเช็คอินจะต้องเตรียมเอกสารตามที่จังหวัดปลายทางกำหนด โดยสายการบินจะตรวจสอบเอกสารต่างๆ เช่น เอกสารยืนยันการได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ หรือเอกสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด -19 โดยวิธี RT-PCR หรือ Antigen Test Kit (ATK) เมื่อออกบัตรโดยสารแล้ว ผู้โดยสารจะผ่าน
ขั้นตอนการคัดกรองตามปกติก่อนออกเดินทางต่อไป ส่วนผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ เมื่อผู้โดยสารลงจากอากาศยานจะผ่านเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิเมื่อเข้ามาภายในอาคารก่อนรับกระเป๋าที่สายพาน และเดินทางออกจากท่าอากาศยาน

นายกิตติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้โดยสารมาใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนจะเข้าอาคารผู้โดยสาร ท่าอากาศยานฯได้มีการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดขนาดเล็ก (Thermoscan) และติดตั้งป้ายสแกน QR Code ไทยชนะบริเวณประตูทางเข้า ซึ่งจะเปิดให้ผู้โดยสารเข้าที่ประตู 1,3,5,7,9 โดยหากผู้โดยสารมีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.3 องศาเซลเซียส จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าใช้บริการ

พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A ตามหลักการ COVID-Free Setting และ Universal Prevention อย่างเคร่งครัด โดยบริเวณเคาน์เตอร์เช็คอินมีการนำเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ (Common Use Self Service: CUSS) ระบบรับสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) มาให้บริการเพื่อลดการสัมผัส มีการจัดให้เว้นระยะห่าง มีการเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาด รถเข็นกระเป๋า บันไดเลื่อน ลิฟท์ ห้องน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรค ในส่วนของพื้นที่จอดรถ ได้เตรียมอาคารและลานจอดที่พอเพียงต่อการใช้บริการของผู้โดยสาร จัดบริการรถ shuttle bus ให้บริการทั้งภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานดอนเมือง

ขณะที่ร้านค้าและร้านอาหารที่ปิดให้บริการไปในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ได้ทยอยกลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ส่วนพื้นที่เขตการบิน มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาพื้นผิวทางวิ่งทางขับและลานจอดอากาศยานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยปัจจุบันได้ให้บริการทางวิ่ง 2 เส้นทาง และมีหลุมจอดอากาศยาน 120 หลุมจอด ทางด้านความพร้อมด้านของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานจากทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงานในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จำนวน 34,000 คน และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งคาดว่า ณ สิ้นเดือนตุลาคม ทั้ง 34,000 คนหรือคิดเป็นร้อยละ 95 ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน จะได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม

นายกิตติพงศ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากการประสานงานกับทุกหน่วยงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และได้ร่วมกันซักซ้อมในขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อรองรับผู้โดยสาร ทั้งในส่วนย่อยและซ้อมใหญ่ล่าสุด ยืนยันว่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีความพร้อมในการให้บริการภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่เข้มงวด พร้อมร่วมเป็นกลไกสำคัญกับรัฐบาล ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ และคาดว่าภายหลังที่มีการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนแล้ว จะมีปริมาณเที่ยวบินต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 480 เที่ยวบิน จากปัจจุบัน 320 เที่ยวบินและจำนวนผู้โดยสารต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 38,000 คนจากปัจจุบัน 15,000 คน โดยในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เริ่มรับผู้โดยสารเที่ยวแรกในเวลาประมาณ 00:00 น. ลำแรกจากประเทศญี่ปุ่น และข้อมูลล่าสุดมีเที่ยวบินระหว่างประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายนกว่า 80 เที่ยวบิน ตลอดทั้งวัน

Related Posts

Send this to a friend